Ads by Adyim

วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ไดลอฟโฟซอรัส (Dilophosaurus)

     อัพเดตกันอีกซักครั้งครับ ก่อนที่จะสิ้นปี พ.ศ.2554 นี้ นับว่าเป็นปีที่เผชิญกับมหันภัยอุทกภัยกัน สำหรับหลายๆ ท่าน แต่เมื่อผ่านไปแล้วก็ขอให้มันผ่านไปครับ เริ่มต้นสู้กันใหม่ สำหรับบทความครั้งนี้ ย้อนกันมาอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับไดโนเสาร์กันบ้างครับ เจ้าตัวนี้ก็เป็นที่รู้จักกันดีเมื่อครั้งภาพยนตร์จูราสสิค พาร์คเข้าฉายครับ เจ้านี่มีชื่อว่า ไดลอฟโฟซอรัส (Pilophosaurus) ครับ

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แคดโบโรซอรัส, แคดดี้ (Cadborosaurus)

     สวัสดีกันอีกครั้งครับ อัพเดตบทความกันอีกครั้ง วันนี้พอดีไปค้นงานเก่าๆ ที่เคยเขียนเอาไว้ ก็นั่งอ่านนั่งดูไป คิดว่าเอาของเก่าๆ มาเล่าใหม่ก็น่าจะเข้าทีดี เผื่อใครยังไม่เคยผ่านตา ก็จะได้อ่านกันเพลินๆ สำหรับบทความนี้เป็นเรื่องของสัตว์ทะเลลึกลับครับ เขียนเอาไว้เมื่อปี 2546 ไม่ก็ 2547 นี่แหละครับ เคยนำไปในไว้ในเวบ Myth และก็เช่นเคยครับ การนำมาลงใหม่นี้ นำเอาต้นฉบับมาปัดฝุ่น ทิ้งน้ำ และเรียบเรียงกันใหม่บางประการเพื่อให้เข้ากับอะไรหลายๆ อย่าง แต่เนื้อใจความหลักก็ยังคงอยู่ ถ้าพร้อมแล้วก็เชิญอ่านกันเลยครับ

*********

     แคดเบอโรซอรัส (Cadborosaurus) บ้างก็เรียก แคดดี้ "Caddy" (ไม่ใช่คนแบกถุงกอล์ฟ นะ หึ หึ) นับเป็นสัตว์ลึกลับจากท้องทะเล (Sea Serpent) อีกชนิดหนึ่ง ที่มีการกล่าวขานถึงการพบเห็นกันมากอยู่ครับ โดยชื่อของ แคดดี้ นั้น ถูกต้องตามการพบเห็นครั้งแรกที่ อ่าวแคดโบโร (Cadboro Bay) เมื่อปี ค.ศ.1933 โดย เฟรดเดอริค เค็มพ์ (Frederick Kemp) หลังจากนั้นรายงานพบเห็นมันก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ จนกระทั่งถึงกับมีข่าวว่ามีการจับตัวมันได้ซะด้วยครับ

วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หนอนมรณะมองโกลเลีย (Mongolian Death Worm)

     สวัสดีครับ กลับมาอัพเดตบทความกันอีกครั้ง ช่วงนี้อัพเดตบ่อยครับ ชดเชยกับเดือนที่แล้วที่ไม่ค่อยมีการอัพเดตเลย สำหรับบทความเรื่องนี้ ยังคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ลึกลับอยู่เช่นเคยครับ คราวนี้ไปกันไกลถึงประเทศมองโกลเลียกันเลยทีเดียวครับ เป็นเจ้าของตำนานหนอนยักษ์ลึกลับที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย ถ้าพร้อมแล้วเชิญรับชมกันเลยดีกว่าครับ
ภาพวาดของเจ้าหนอนมรณะ
     เจ้าหนอนมรณะตัวนี้ จากตำนานของชนเผ่าพื้นเมืองกล่าวว่าเอาไว้ว่ามันอาศัยอยู่ใน ทะเลทรายโกบีทางตอนใต้ (Southern Gobi desert) มานานกว่าหลายร้อยปีแล้ว ตัวใหญ่กว่าหนอนปกติทั่วไป และมีนิสัยดุร้าย เจ้าหนอนมรณะนี้มีความประมาณ 1-1.4 เมตรกว่า ลำตัวใหญ่หนา มีสีแดงเข้มทั่วลำตัว ลักษณะพิเศษของเจ้าหนอนมรณะชนิดนี้ คือมันสามารถพ่นพิษเพื่อฆ่าเหยื่อหรือศัตรูของมันได้ครับ พิษที่พ่นออกมานั้นคล้ายเมือก (คล้ายกับงูเห่าพ่นพิษนั่นแหละครับ) มีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรงเมื่อสัมผัสโดน และสามารถทำอันตรายมนุษย์จนถึงแก่ชีวิตได้ หากสัมผัสโดนจุดสำคัญ แถมพิษชนิดนี้ยังดึงดูดหนอนมรณะตัวอื่นเข้ามาร่วมวงด้วยอีกต่างหาก ชาวมองโกลเรียกเจ้าหนอนมรณะนี้ว่า โอลโกย คอร์โคย (Olgoi Khorkhoi) ครับ กล่าวกันว่าเจ้าหนอนชนิดนี้อาศัยอยู่ใต้ดิน มันใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจำศีล จะออกมาหาอาหารกินในช่วงเวลาเดือน มิถุนาและกรกฎาคมในแต่ละปีเท่านั้น โดยวิธีล่าเหยื่อของมันก็คือการพ่นพิษเข้าใส่เหยื่อ และรอคอยให้เหยื่อเสียชีวิต จากนั้นจึงลงมือกินเหยื่อ และที่ร้ายยิ่งกว่านั้นคือผิวหนังที่ลำตัวของมันนั้นกล่าวกันว่าหากสัมผัสโดน อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เนื่องมาจากพิษกรดอันเข้มข้นที่เป็นเมือกปกคลุมร่างกาย จากคำบอกเล่ายังมีปรากฏอีกว่า บางครั้งเจ้าหนอนมรณะชนิดนี้ยังสามารถปล่อยกระแสไฟฟ้า (Electrical charge) เพื่อทำร้ายเหยื่อของมันให้เป็นอัมพาตอีกทาง
 

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เซลม่า : สัตว์ประหลาดจากนอร์เวย์

นักตกปลาสองคนเมื่อปี ค.ศ.1970 ได้เผชิญหน้ากับเซลม่า 
     สวัสดีครับ กลับมาพบเรื่องราวสาระน่ารู้บ้างไม่น่ารู้บ้าง คละเคล้ากันไป ตามแต่จะมีนำมาเสนอมาให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกัน อัพเดตคราวนี้ ขอนำเรื่องราวของสัตว์ลึกลับตัวหนึ่ง ของเก่ามาเล่าใหม่ครับ ผ่านการกลั่นกรองอีกเล็กน้อยตามระเบียบ เพื่อให้เรื่องกระชับขึ้น ไม่ใส่น้ำเหมือนตอนเขียนไว้ทีแรก ตามเคยครับ เรื่องนี้เคยนำไปลงไว้ในเวบ Myth เมื่อนานแสนนานมาแล้ว ประมาณปี พ.ศ.2547 น่าจะได้มั้งครับ ถ้าคุ้นๆ ตาก็อย่าเพิ่งแปลกใจครับ เรื่องเดียวคนเรียบเรียงคนเดียวกันนั่นเอง เอาล่ะ ไม่กล่าวมากกครับ พร้อมแล้วก็ไปรับชมกันเลย

**********************
     จากเรื่องที่แล้วพาขึ้นเขาเข้าป่าไป มาเรื่องนี้ลองเปลี่ยนบรรยากาศกันดูบ้างดีกว่าครับ ผมจะพาท่านเลาะเลี้ยวไปแถวๆ ทะเลสาบเซลจอร์ด (Lake Seljordsvatnet) ประเทศนอร์เวย์ กันดูบ้าง ที่ทะเลสาปแห่งนี้ก็มีเรื่องเล่าขานหรือรายงานการพบเห็นของสัตว์ประหลาดอยู่ ด้วยเหมือนกัน นามของมันนั้นหรือคือ เซลม่า (Selma) นั่นเองครับ ก็คงไม่โด่งดังเท่ากับเนสซี่จากสก็อตแลนด์หรือโอโกโปโกจากแคนาดา แต่ก็พอเป็นที่รู้จักกันอยู่บ้างครับ

วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2554

โลลอง : จระเข้ยักษ์ใหญ่ที่สุดในโลก (biggest crocodile in the world)

อดัมขณะทำการวัดขนาดของเจ้าโลลอง
กลับมาอัพเดทกันอีกครั้งครับ สำหรับบทความนี้ยังคงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับจระเข้ยักษ์ที่ฟิลิปปินส์อยู่ ครับ ตามที่ได้นำเสนอเรื่องราวของเจ้าโลลองไปแล้ว ติดตามอ่านได้สำหรับตอนแรก ที่นี่ เลยครับ และส่วนตอนที่สองก็ ที่นี่ ครับ สำหรับเรื่องราวอัพเดทคราวนี้ก็ติดตามอ่านกันได้เลยครับ
     เป็นที่ยืนยันอย่างแน่ชัดแล้วครับว่าเจ้าโลลอง จระเข้น้ำเค็มยักษ์ใหญ่จากประเทศฟิลิปปินส์ ณ ตอนนี้ได้กลายเป็นจระเข้ยักษ์ใหญ่ที่สุดในโลกไปเรียบร้อยแล้วครับ โดยการวัดความยาวอย่างเป็นทางการของเจ้าโลลองนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 พ.ย.2011 ที่ผ่านมานี่เองครับ จากเจ้าหน้าที่สวนสัตว์และประวัติศาสตร์ธรรมชาติของประเทศออสเตรเลีย ดร.อดัม บริทตัน (Dr.Adam Britton) ผู้เชี่ยวชาญด้านจระเข้ ได้เข้ามาเป็นกรรมการช่วยในการวัดครั้งนี้ คนเดียวกับที่วัดขนาดของเจ้าแคสเซียส เคลย์ นั่นแหละครับ ดร.อดัมก็มีทำรายการสารคดีเกี่ยวกับพวกจระเข้และสัตว์อื่นๆ อยู่ด้วย ถ้าสนใจลองหาดูได้จากช่องเคเบิลทีวีสารคดีดิสคัฟเวอร์รี่ แชนเนลและช่องเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิคดูครับ โดยผลจากการวัดความยาวอย่างเป็นทางการของเจ้าโลลองตั้งแต่หัวจรดปลายหางอยู่ ที่ 6.187 เมตร ไม่ถึง 6.4 เมตร อย่างที่มีการประมาณกันเอาไว้ในทีแรก แต่แค่นี้ก็เพียงพอที่จะเอาชนะเจ้าแคสเซียส เคลย์ (ตั้งชื่อตามชื่อเก่าของนักมวยรุ่นเฮฟวี่เวทชาวอเมริกาชื่อดัง โมฮัมหมัด อาลี ครับ) จระเข้น้ำเค็มยักษ์ใหญ่อีกตัวของออสเตรเลีย ที่มีขนาด 5.48 เมตร เจ้าของตำแหน่งแชมป์เก่าไปได้อย่างสบายๆ แบบนอนมาเลยทีเดียว
   

วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ชาร์ลส ฟอร์ท (Charles Fort)


     กลับมาพบกับอีกครั้งครับ อัพเดทกันอีกครั้งนึง คราวนี้ขอพาไปรู้จักกับบุคคลในวงการเรื่องลึกลับปริศนากันอีกหนึ่งท่านครับ ชายผู้นี้มีนามว่า ชาร์ลส ฟอร์ท (Charles Fort) นักเขียนและนักวิจัยปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติชาวอเมริกัน บุคคลที่บุกเบิกยุคสมัยปรากฏการณ์เรื่องลึกลับและนำมาเขียนเป็นหนังสือตี พิมพ์ให้สาธารณะชนได้รับรู้กันในวงกว้าง ถ้าพร้อมแล้วเราไปติดตามชีวประวัติแบบคร่าวๆ ของเขาเลยครับ ว่ามีความเป็นมาแบบไหน
     ชาร์ลส ฟอร์ท เกิดที่เมืองอัลบานี รัฐนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ฟอร์ทมีชีวิตอยู่ในระหว่างปี ค.ศ.1874 – 1932 ในวัยหนุ่ม ฟอร์ทได้ผจญภัยไปหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นตอนใต้ของทางสหรัฐ สก็อตแลนด์ อังกฤษ แอฟริกาใต้ ในปี ค.ศ.1896 หลังจากที่ได้ผจญภัยไปเกือบรอบโลก สุดท้ายฟอร์ทก็กลับมาใช้ชีวิตที่ลอนดอน แต่งงานมีชีวิตครอบครัว ทำงานเป็นนักเขียนอย่างที่เขาตั้งใจมาโดยตลอด แต่งานนักประพันธ์ก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เขาคิด นิยายเพียงเรื่องเดียวจากในสิบเรื่องของเขาได้รับการตีพิมพ์ และไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก
ชาร์ลส ฟอร์ท
      ต่อมาในปี ค.ศ.1915 ฟอร์ทได้เขียนหนังสือขึ้นมาอีกสองเล่ม เป็นนิยายวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับดาวอังคารและโลก คราวนี้งานของเขาได้เตะตา ธีโอดอร์ ไดร์เซอร์ (Theodore Dreiser) นักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นคนหนึ่ง และพยายามจะช่วยให้งานทั้งสองนี้ตีพิมพ์สู่สาธารณะให้ได้ แต่ก็เหมือนฟ้ากลั่นแกล้งครับ เมื่องานของเขากลับไม่ได้รับการตีพิมพ์เหมือนเดิม แต่แล้วโชคชะตาก็พลิกผันอีกครั้ง ในปีค.ศ.1919 เมื่อหนังสือ The Book of The Damned ของฟอร์ทได้รับการตีพิมพ์ด้วยความช่วยเหลือของ ไดร์เซอร์ หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่ว่าด้วยเรื่องปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเงื่อนไขทางวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้น ฟอร์ทได้รวบรวมเก็บเอาไว้ในสมัยที่เขาออกผจญภัยไปยังที่ต่างๆ หนังสือเล่มนี้ฮิตถล่มทลายทันทีครับ ทำให้ฟอร์ทรู้แล้วว่าเขาควรจะทำงานออกมาในแนวไหน

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

โลลองจระเข้ยักษ์ : ข่าวสารอัพเดต

     จากคราวก่อนเคยนำเสนอเรื่องของ เจ้าโลลอง กันไปบ้างแล้ว คลิกอ่านกันได้ ที่นี่ ครับ คราวนี้จะมาอัพเดตข่าวของเจ้าจระเข้ยักษ์สัญชาติฟิลิปปินส์ตัวนี้กันหน่อยครับ
      เมื่อประมาณต้นเดือนกันยายน ได้มีการจับจระเข้น้ำเค็มตัวผู้ขนาดใหญ่ที่สุดได้เท่าที่มีเคยมีการบันทึก เอาไว้เป็นประวัติการณ์ ได้จากเมืองบูนาวัน (Bunawan) จังหวัดอะกุซาน เดล เซอร์ (Agusan del sur) แหล่งที่มีจระเข้น้ำเค็มขนาดยักษ์ชุกชุมแห่งหนึ่งของประเทศฟิลิปปินส์ ในภายหลังได้ตั้งชื่อเจ้าจระเข้ยักษ์นี้ว่า เออร์เนสโต โลลอง เพื่อเป็นเกียรติแก่พรานจระเข้ผู้ที่ทำการล่าเจ้าโลลองตัวนี้ แต่ได้เสียชีวิตไปก่อนที่จะจับมันได้ โดยจะต้องใช้จำนวนคนกว่า 30 คนและเวลากว่า 3 สัปดาห์ ในการจับเจ้าโลลองตัวนี้ครับ
รูปร่างสวยงามสมส่วนจริงๆ ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Funny Photo Click 9 - Movie Posters

      พบกันภาพน่ารัก ดูแล้วอมยิ้มกันอีกครั้งครับ มาถึงตอนที่ 9 กันแล้ว สำหรับตอนนี้มีชื่อว่า Movies Posters ครับ ก็เป็นโปสเตอร์ภาพยนตร์ที่แต่งด้วยโปรแกรมโฟโต้ช็อป ดูแล้วก็ทำได้เนียนดี ก็เช่นเคย ดูกันพอเพลินๆ พร้อมแล้วเชิญรับชมกันได้ครับ
Beauty and the Beast งานนี้เบลล์เจองานหนักหน่อยครับ

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ฉลามตาเดียว (Albino Cyclops Shark)

      บทความนี้ขอนำเสนอสารคดีสัตว์โลกผู้น่ารัก ก็ว่าเข้าไปนั่นครับ เรื่องเล่าคราวนี้เป็นคิวเรื่องของฉลามครับ ไม่ใช่ฉลามธรรมดา แต่มันเป็นฉลามเผือกตาเดียวครับ น่าสนใจทีเดียวใช่มั๊ยละครับ ถ้าสนใจก็ติดตามอ่านกันได้เลยครับ

    ฉลามตาเดียว (Albino Cyclops Shark) นั้นถูกโพสภาพครั้งแรกลงในเฟซบุ๊ค (ทันสมัยซะด้วย) ของชมรมตกปลา Pisces Fleet Sportfishing Blog ครับ และไม่กี่เดือนต่อมา มันก็กลายเป็นฟอร์เวิร์ดเมลล์ส่งต่อกันไปเรื่อยในโลกไซเบอร์ในเวลาต่อมา ในตอนแรกก็ไม่มีใครใส่ใจ คิดกันว่ามันก็เป็นเพียงของปลอม เหมือนอย่างสัตว์ประหลาดสารพันชนิดที่ถูกส่งต่อมากันอย่างดาษดื่น ในรูปแบบของฟอร์เวิร์ดเมลล์ทั่วไป แต่คราวนี้เป็นอะไรที่แตกต่างออกไปครับ เมื่อสมาชิกคนหนึ่งของ เวบได้ออกมายืนยันว่า เจ้าฉลามเผือกตาเดียวตัวนี้เป็นของจริง!!
ดูแล้วเหมือนยักษ์ตาเดียวครับ

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โมอาย รูปสลักหินปริศนาบนเกาะอีสเตอร์ (Moai, Easter Island Statues)

     สวัสดีกันอีกครั้งครับ ช่วงนี้เหตุการณ์น้ำท่วมบ้านเราก็ยังคงอยู่ในช่วงที่ต้องเฝ้าระวังกันอยู่ ก็คงต้องมีสติ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทละนะครับ ก็ขอเอาใจช่วยผู้ที่ประสบภัยให้ผ่านเหตุการณ์นี้ไปให้ได้ด้วยดี เอาล่ะครับ มาเข้าเรื่องของบทความครั้งนี้ดีกว่าครับ อัพเดตคราวนี้ขออนุญาตพาทุกท่านไปไกลถึง เกาะอีสเตอร์ (Easter Island) กันเลยทีเดียว โดยที่เกาะนี้มีรูปสลักหินขนาดยักษ์ที่เรียกกันว่า “โมอาย (Moai)” อยู่ ครับ ถ้าอยากรู้เรื่องราวของโมอายว่าคืออะไร เป็นเพียงรูปสลักหินธรรมดาหรือสิ่งที่ชนเผ่าราปานุยสร้างขึ้นบูชาและปกป้อง พวกเขาจากภัยธรรมชาติ หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าพร้อมแล้วก็เชิญติดตามอ่านกันได้เลยครับ
    
     โมอายเป็นหินภูเขาไฟขนาดใหญ่สลักเป็นรูปร่างคนบ้าง หน้าคนบ้าง ตั้งอยู่รายรอบไปทั่วบริเวณเกาะอีสเตอร์ในทะเลแปซิฟิคตะวันออกเฉียงใต้ เกาะอีสเตอร์นั้นอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศชิลี มีขนาดพื้นที่ของเกาะกินอาณาบริเวณประมาณ 164 ตารางกิโลเมตร มีประชากรท้องถิ่นอาศัยอยู่ประมาณ 5,034 คน เป็นสถานที่ที่ว่ากันว่าที่นี่เป็นใจกลางของโลก บ้างก็ว่าเป็นสะดือของโลกไปนั่น โดยชื่อเกาะอีสเตอร์นั้นถูกตั้งขึ้นตามวันที่มีการค้นพบเกาะนี้ครับ ซึ่งเป็น วันอีสเตอร์ (Easter's Day) พอดีในปี ค.ศ.1722 โดยมาจากการค้นพบของนักสำรวจชาวฮอลแลนด์ เจค็อบ ร็อกเกวีน (Jacob Roggeveen) แรกเริ่มเดิมทีชื่อของเกาะอีสเตอร์นั้นถูกตั้งเป็นชื่อภาษาสเปนครับว่า isla de paschua หรือแปลว่าเกาะอีสเตอร์ในภาษาอังฤษนั่นเองครับ และในปัจจุบันทาง องค์กรยูเนสโก (UNESCO) ก็ได้ประกาศให้เกาะอีสเตอร์เป็นมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งด้วยครับ

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Funny Photo Click 8 - Feeding Crocs

      สำหรับ Funny Photo ชุดนี้ คงไม่ Funny เท่าไหร่ครับ ออกแนวน่าหวาดเสียวนิดๆ ซะมากกว่า ก็เป็นภาพชุดการให้อาหารแก่ จระเข้ยักษ์ อ้อ พวกนี้ส่วนใหญ่ไม่ใช่จระเข้เลี้ยงตามฟาร์มนะครับ เป็นจระเข้ธรรมชาติ แต่อาจจะพอคุ้นอยู่กับคนกับให้อาหารอยู่บ้าง แต่จระเข้พวกนี้ไม่เชื่องแน่นอนครับ ดูแล้วน่าหวาดเสียวไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว ถ้าพร้อมแล้วก็เชิญรับชมกันได้เลยครับ
ประเดิมด้วยภาพนี้ครับ

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บันยิพ : อสูรแห่งหนองน้ำ

     กลับมาอัพเดตกันอีกครับ แต่คราวนี้ขออนุญาตเอาบทความเก่าๆ ที่เคยทำไว้นานแล้วมาให้อ่านกันใหม่ ก็มีขัดเกลาตัดน้ำออกไปให้กระชับขึ้น พร้อมแล้วก็อ่านกันเลยครับ

*************

     พาไปรู้จักกับสัตว์ประหลาดกัน มาก็หลายชนิดหลายตัวแล้ว ข้อมูลมากบ้างน้อยบ้าง ก็อย่าว่ากันล่ะครับ พอดีวันนี้สบโอกาสพาไปทัวร์แถวออสเตรเลียกันดูบ้าง มาฟังเรื่องเล่าที่เป็นตำนานเกี่ยวกับเจ้าสัตว์ประหลาดที่มีชื่อเรียกกันว่า บันยิพ (Bunyip) กันดูบ้างครับ สำหรับเรื่องสัตว์ประหลาดหรือเจ้าตัวประหลาดนี้นั้นก็เป็นตำนาน เรื่องเล่าที่ยังคงกล่าวขานกันต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ของชาวเผ่าพื้นเมืองของประเทศออสเตรเลีย หรือชนเผ่าอะบอริจินส์นั่นเองครับ โดยตามเรื่องตำนานของชาวอะบอริจินส์นั้นได้เล่ากล่าวเอาไว้ว่า บันยิพ เป็นจิตวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในแม่น้ำ ลำคลอง หนองบึง ทะเลสาบ หรือหากจะบอกว่าเป็นวิญญาณผู้เฝ้าผืนน้ำก็เห็นจะเป็นได้อยู่เหมือนกัน พอนานวันสะสมตบะแก่กล้ามากขึ้น บันยิพ เลยกลายรูปร่างเป็นสัตว์ประหลาด เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาให้ผู้คนได้เห็นไปโน่นล่ะครับ 

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

10 เกร็ดความรู้ที่น่าสนใจ

อัพเดตกันอีกบทความนะครับ คราวนี้มาดูเรื่องเบาๆ กันบ้าง ก็เป็นเรื่องราวทั่วๆ ใกล้ตัวเราทั่วไป เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เอามาให้ดูกันพอเพลินๆ ว่าแล้วก็ติดตามอ่านกันได้เลยครับ

1. หลอดไฟฟ้า
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า โธมัส อัลวา เอดิสัน (Thonas Alva Edison) นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะชาวอเมริกา ได้ทำการประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า (Light bulb) ขึ้นเป็นคนแรก อันนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกันมานานครับ แต่แท้ที่จริงแล้ว ผู้ที่ประดิษฐ์หลอดไฟเป็นคนแรกนั้นก็คือ โจเซฟ สวอน (Joseph Swan) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษครับ โดย โจเซฟ นั้นประดิษฐ์หลอดไฟเมื่อปี ค.ศ.1878 นั่นเองครับ

2. น้ำผึ้ง
น้ำผึ้งนั้นเป็นอาหารตามธรรมชาติชนิดเดียวครับ ที่ไม่เกิดการเน่าเสียเมื่อเก็บเอาไว้นานๆ โดยมีการพบโถใส่น้ำผึ้งที่มีอายุกว่าสองพันปี เก่าแก่มากที่สุด ซึ่งถูกค้นพบในสุสาน Yutu and Tjuyu ในหุบเขาแห่งกษัตริย์ ประเทศอียิปต์ เมื่อปี ค.ศ.1905 โดย ธีโอดอร์ เดวิส (Theodore davis) ชาวอเมริกา สภาพที่พบนั้น น้ำผึ้งนั้นยังมีลักษณะเป็นของเหลว และยังสามารถกินได้อยู่เลยครับ

3. ประชากรโลก
หากว่ากันด้วยเรื่องของจำนวนประชากรจำนวนทั้งหมดบนโลกนี้แล้ว ตอนนี้มีจำนวนอยู่เกือบเจ็ดพันล้านคน แต่อย่าคิดว่าจำนวนประชากรจะล้นโลกใบนี้นะครับ เชื่อมั๊ยครับ พื้นที่กว่า 700,000 ตารางกิโลเมตรของรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกานั้นสามารถรองรับประชากรโลกทั้งหมดได้ แต่ในส่วนของพื้นที่เท่านั้นนะครับ

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วัตถุและแสงประหลาดบนดาวอังคาร

กลับมาอัพเดตกันอีกครั้งนะครับ หลังจากผ่านไปพอสมควรกับอัพเดตล่าสุด สำหรับเรื่องที่นำมาเสนอคราวนี้ ไปไกลกันถึงดาวอังคารทีเดียวครับ โดยยานอวกาศของนาซ่าสามารถจับภาพบางสิ่งมาได้ เป็นภาพที่น่าสนใจไม่ใช้น้อย เรามาติดตามกันครับ ว่าภาพมันเป็นยังไง ถ่ายติดอะไรมา แล้วทำไมถึงน่าสนใจ

วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554

R.I.P Steve Jobd (1955 - 2011)

ขอไว้อาลัยให้กับ สตีฟ จ็อบส์ อัจฉริยะผู้รังสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ อันน่าทึ่งหลายอย่าง ได้จากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2011

ที่ผ่านมาเป็นที่น่าเสียดายครับ ที่โลกนี้ได้เสียบุคคลากรอัจฉริยะไปอีกหนึ่งราย  ถึง สตีฟ จะจากไป แต่เขายังคงมีชีวิตอยู่ในใจแฟนๆ

ที่รักและศรัทธาเขา...ตลอดไป

R.I.P Steve.

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

ยานอวกาศยักษ์ที่ดาวเสาร์ (Giant Spaceships at Saturn's Ring)

     สวัสดีครับ กลับมาอัพเดทบทความกันอีกครั้ง หลังจากห่างหายกันไปนานทีเดียว เรื่องเล่าคราวนี้เป็นเรื่องของจานบินหรือยูเอฟโอกันบ้างครับ หลังจากบทความประเภทนี้ไม่ได้นำมาลงนานแล้ว ว่าไปแล้วบทความเรื่องนี้ก็เป็นการเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ ก็ว่าได้ครับ เพระมันเกิดขึ้นมาเมื่อ 10 กว่าปีมาแล้วครับ อาจจะพอเคยผ่านสายตากันมาบ้างแล้ว ก็อย่าว่ากันเน้อ 
     นับย้อนหลังไปเมื่อปี ค..1996 นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ดร.นอร์แมน เบอร์กัน (Dr,Norman Bergun) ได้เผยภาพถ่ายดาวเสาร์ที่ได้มาจากนาซ่าจำนวนหนึ่ง ที่ไม่ธรรมดาของบรรดาภาพถ่ายเหล่านี้ก็คือ มีวัตถุลึกลับที่คาดกันว่า น่าจะเป็นยานอวกาศขนาดยักษ์ถูกถ่ายติดอยู่ในภาพดังกล่าวครับ จำนวน 2-3 ลำ สำหรับรูปทรงของวัตถุลึกลับนี้มีลักษณะเป็นทรงซิการ์ เรียวยาว ส่วนขนาดนั้นเมื่อคำนวณออกมาแล้ว ปรากฏว่ามันมีขนาดยาวประมาณเส้นผ่านศูนย์ของโลกเราเลยครับ ขนาดมหึมาเลยทีเดียว

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

จระเข้ยักษ์ใหญ่จากฟิลิปปินส์ (Lolong, The Giant Croc from Phililppines)

     สวัสดีครับ ไม่ได้อัพเดตบทความกันมาค่อนข้างนานมาก พอดีดูข่าวน้ำท่วม เห็นประเทศใกล้ๆ กัน เขาจับจระเข้ขนาดมหึมา ขึ้นมาได้ ก็เลยได้เรื่องราวมาอัพเดตกันซักหน่อย สำหรับยักษ์ใหญ่เจ้าของสถิติจระเข้ใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้ !?! ถูกจับได้ที่เมืองบูนาวัน (Bunawan) ทางตอนใต้ของประเทศฟิลิปปินส์ (Southern Philippines) ซึ่งเป็นสถานที่ที่ถูกกล่าวขานกันถึงเรื่องจระเข้น้ำเค็มขนาดใหญ่กันอยู่แล้ว เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาครับ นับได้ว่าเป็นจระเข้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการจับกันมาได้ครับ จระเข้ตัวนี้มีความยาวตลอดหัวถึงปลายหางประมาณ 24 ฟุต หรือประมาณ 6.4 เมตร น้ำหนักตัวกว่า 1 ตัน ทำลายสถิติ เจ้า "แคสเซียส เคลย์" จระเข้ที่จับได้จากเขตทางเหนือ (Northern Territory)  ของประเทศออสเตรเลีย  ขนาดตัวใหญ่ที่สุดในโลกจากประเทศออสเตรเลียด้วยขนาด 18 ฟุต หรือ 5.0 เมตร ไปอย่างสบายๆ เลยทีเดียวครับ (ว่างๆ จะมาเล่าเรื่องของเจ้าแคสเซียส เคลย์ให้ฟังครับ) แต่สถิติจระเข้าขนาดใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้ก็ยังไม่ได้มีการยอมรับกันอย่างเป็นทางการครับว่าเจ้า "โลลอง" (ชื่อของเจ้าจระเข้ยักษ์ตัวเมีย ตั้งเพื่อเป็นเกียรติตามชื่อของยอดพรานนักล่าจระเข้ของฟิลิปปินส์ ที่ชื่อ เออร์เนสโต โลลอง ที่เสียชีวิตไปแล้ว) เป็นจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในที่เลี้ยง ถ้ายังไม่ได้มีการตรวจสอบกันอย่างเป็นทางการ

เราลองมาดูรูปของเจ้าจระเข้ยักษ์ที่เขาจับได้กันดีกว่าครับ ว่ามันจะใหญ่โตซักขนาดไหน

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เรื่องลึกลับฉบับย่อ

กลับมาอัพเดตกันอีกครั้งครับ หลังจากห่างหายไปนาน อัพเดตบทความนี้ก็ขออนุญาตนำบทความเก่ากลับมาให้อ่านกันใหม่สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เคยผ่านตา จริงๆ แล้วบทความชิ้นนี้ทำไว้นานแล้วเหมือนกันครับ สมัยยังมี "เวบ Myth" และยังใช้ชื่อ "นายโอ" อยู่ ในตอนนั้นบทความนี้ใช้ชื่อว่า 7 อันดับเรื่องลึกลับ

วันนี้มีเวลาอัพเดตก็เลย ค้นงานเก่าๆ เอามาลงกันใหม่อีกรอบกับบ้านใหม่หลังนี้ ในส่วนเนื้อเรื่องก็ได้ทำการตัดทอนบางส่วนออกไปบ้างครับ เพื่อความกระชับและอ่านง่ายขึ้น  เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปติดตามกันเลยครับ

วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554

จระเข้ VS ช้าง

...ยังคงเป็นเรื่องราวของจระเข้อีกเช่นเคยครับ วนเวียนอยู่ 2-3 ลูปแล้ว ...คราวนี้คู่ต่อสู้ (หรือเหยื่อ ?!?) ของจระเข้น้ำจืดก็คือ ...ช้างแอฟริกันครับ !! ถ้าเปรียบเป็นมวยละก็ เรียกได้มวยคนละรุ่นกันเลยทีเดียว ภาพชุดนี้ถูกถ่ายในช่วงเวลาที่พ่อช้างและเจ้าลูกช้างน้อยกำลังจะไปกินน้ำ แล้วพอดีโดนเจ้าจระเข้ที่นอนซุ่มอยู่ตรงนั้น พุ่งเข้าเล่นงาน โดยจู่โจมงับเข้าที่งวงของพ่อช้างแอฟริกันเข้า ตามที่เห็นในภาพนั่นแหละครับ จระเข้ที่เห็นในภาพนั้นมีขนาดตัวยาวประมาณ 3.5-4 เมรตรครับ ขนาดตัวไม่เล็กเลย แต่เมื่อเจอเข้ากับยักษ์ใหญ่แห่งที่ราบ อย่างช้างแอฟริกันเข้าแล้ว ยังเทียบกันไม่ได้เลยครับ คนละรุ่นกันซะงั้น


อ่านต่อเชิญด้านในเลยครับ

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

10 เกร็ดน่ารู้เรื่องไดโนเสาร์

.....บทความนี้ขอนำเสนอ 10 เกร็ดน่ารู้เรื่องไดโนเสาร์ครับ อาจจะเป็นมุมมองใหม่ ที่เราอาจยังไม่เคยรู้หรือสัมผัสมาก่อน ลองมาดูกันครับ ว่าเกร็ดน่ารู้แต่ละเรื่องนั้น มีอะไรบ้าง เชิญชมครับ

1. ไดโนเสาร์นั้นไม่ใช่สัตว์เลื้อยคลานพวกแรกที่เคยครองโลก
เราอาจจะเชื่อกันว่า ไดโนเสาร์นั้น เป็นสัตว์เลื้อยคลานยักษ์ใหญ่พวกแรกที่เคยครองโลกเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว ความเชื่อนี้ผิดครับ เพราะยังมีสัตว์อยู่ 2 ประเภท มีชีวิตอาศัยอยู่บนโลกนี้นานมาแล้ว นานก่อนไดโนเสาร์จะกำเนิดเสียอีกครับ ได้แก่ อาร์โคซอรัส (Archosarus) ซึ่งมีรูปร่างคล้ายจระเข้ในยุคปัจจุบัน และ เธอแร๊พซิดส์ (Therapsids) ที่ดูคล้ายสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง นั่นเองครับ ซึ่งหลังจากนี้ ก็มีการวิวัฒนาการแตกแยกแขนงออกไปเป็นไดโนเสาร์อีกหลากหลายพันธุ์นั่นเอง
อาร์โคซอรัส (ตัวบน) และ เธอแร๊พซิดส์ (ตัวล่าง)

เกาะแรมรี : มหันตภัยจระเข้น้ำเค็ม (Ramree Island)

 .....กลับมาพบกันอีกครั้งครับ หลังจากไม่ได้อัพเดทบทความมาซะหลายวัน สำหรับบทความนี้ ยังคงเป็นบทความที่เกี่ยวกับจระเข้เช่นเคย ครับ แต่คราวนี้เป็นเรื่องราว ย้อนไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 เมื่อทหารญี่ปุ่นกองพันหนึ่ง ถูกจระเข้น้ำเค็มโจมตี เมื่อครั้งที่ถอนกำลังจากภารกิจที่ได้ปฏิบัติอยู่ในประเทศพม่า และต้องเดินทางกลับมายังจุดนัดพบที่ต้องผ่านบึงชายเลน ที่อยู่ของจระเข้น้ำเค็มขนาดยักษ์นับพันตัว
สถานที่เกิดเหตุ เกาะแรมรี ประเทศพม่า
…..เหตุการณ์อันน่าสะพรึงครั้งนี้ เกิดขึ้นที่ เกาะแรมรี (Ramree Island) ในประเทศพม่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค..1945 ครับ จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นเมื่อ ทหารญี่ปุ่นกองพันหนึ่ง ได้รับคำสั่งให้ถอนทัพออกจากภารกิจจากเกาะมรณะแห่งนี้ ซึ่งต้องใช้เส้นทางเดินผ่านป่าชายเลน บึงขนาดกว้างกว่า 16 กิโลเมตร เหล่าทหารหาญเมื่อได้รับคำสั่งถอนทัพ ก็จัดทัพเดินทางกลับผ่านบึงแห่งนี้ โดยหารู้ไม่ว่า มันเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของ...

.....จระเข้น้ำเค็มกินคนขนาดยักษ์ !!!

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

โกเมค (Gomek The Crocodile)

.....บทความเกี่ยวกับจระเข้คราวก่อนได้นำเสนอเรื่องของ กุสตาฟ จระเข้ยักษ์แห่งบุรุนดี ไปแล้ว แต่ก็ยังเรื่องราวของจระเข้ยักษ์อีกตัวครับที่น่าสนใจ และมีชื่อเสียงไม่แพ้กัน แต่คงไม่โหดและเป็นตำนานเท่ากุสตาฟในเรื่องการสังหารจำนวนเหยื่อที่เป็นที่โจษจันกัน สำหรับเจ้าจระเข้ตัวนี้ชื่อว่า โกเมค (Gomek) ครับ เราลองมาดูตำนานของเจ้าโกเมคกัน

10 อันดับสัตว์มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก

......พบกันอีกเช่นเคยครับ กับบทความมีสาระบ้าง ไม่มีบ้าง ปนๆ กันไปครับ สำหรับบทความคราวนี้จะนำเสนอเรื่องของสัตว์มีพิษ 10 ชนิดครับ ทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ บ้างก็ใช้พิษเพื่อเอาไว้ป้องกันตัวจากนักล่า บ้างก็มีพิษเอาไว้เพื่อล่าเสียเอง ในทางวิชาการนั้น มีการนำพิษมาใช้กับหนูทดลอง เพื่อให้ได้ค่าดัชนีความร้ายแรงของพิษว่ามีถึงระดับใด วิธีนี้เรียกว่า Median Lethal Dose โดยใช้การป้อนไปเข้าไปในร่างกายของหนูทดลองหรือการให้สัมผัสโดยตรง แล้วดูเทียบปริมาณที่ใช้ไปกับแต่ละตัวอย่างทดลอง ก็จะได้ดัชนีนี้ออกมาครับ สนใจอ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่ ครับ แต่วิธีทดลองนี้ก็ไม่ได้ครอบคลุมไปทั้งหมด เพราะพิษแต่ละชนิดนั้นอาจจะออกอาการแตกต่างกันไปตามชนิดของพิษ เอาละครับไม่เกริ่นยืดยาวละ เรามาดูผู้เข้ารอบในแต่ละอันดับเลยครับ

อันดับ 10 ปลาปักเป้า (Puffer Fish)
.....พูดถึงปลาปักเป้าแล้ว คิดว่าส่วนใหญ่ทุกคนก็คงจะเคยเห็หรืออาจจะเคยซื้อมาเลี้ยงจากจตุจักรตัวละ 5-10 บาท ตัวมันพองๆ กลมบ็อก ดูแล้วน่ารักดี แต่ไม่ใช่ชนิดที่เราจล่าวถึงครับ ปลาปักเป้านั้นแท้จริงแล้วมันไม่ได้น่ารัก น่าเอ็นดูเหมือนกับรูปร่างของมัน หากแท้จริงแล้วมันเป็นปลากินเนื้อหรือปลาล่าเหยื่อตัวฉกาจเลยครับ บางชนิดชอบกินปลาเล็ก บางชนิดชอบสัตว์เปลือกแข็ง อย่างหอยหรือปูตัวเล็กๆ ก็มีครับ ปลาปักเป้านั้นมีทั้งชนิดที่ไม่มีพิษและชนิดที่มีพิษครับ สำหรับชนิดที่มีพิษนั้น พิษของมันไม่ได้อยู่ที่อวัยวะโจมตีภายนอกครับ หากแต่พิษนั้นอยู่ส่วนใต้เนื้อของมันเอง เป็นกลไกธรรมชาติที่เอาไว้ป้องกันจากสัตว์นักล่าที่อยู่ในห่วงอาหารที่สูงกว่า ถ้ากินมันเข้าไปละก็ จอดลูกเดียวครับ กฎแห่งการวิวัฒนาการก็เลยต้องมอบพิษให้มัน เพื่อเอาไว้ป้องกันตัว จากสัตว์นักล่านั่นเองครับ

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ฉลามขาวยักษ์ (The Great White Shark)


.....บทความนี้จะพาไปรู้จักกับ ฉลามขาวยักษ์ (The Great White Shark) กันครับ ฉลามที่เป็นอันตรายที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยรู้จักกันมาทีเดียวครับ และอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารของสัตว์ทะเล ขอขยายความอีกหน่อยครับ ปลาฉลามที่ตัวใหญ่ที่สุดในท้องทะเลในเวลานี้ ต้องยกตำแหน่งให้ ฉลามวาฬ ครับ แต่ถ้าหากเป็นปลานักล่าเหยื่อแล้วละก็ ฉลามขาวยักษ์เป็นก็ผู้ครอบครองตำแหน่งนี้ไป ในอดีตนั้น โดยปกติแล้ว ขนาดของเจ้าฉลามขาวยักษ์ที่มีการจับกันมาได้นั้น จะยาวประมาณ 4-5 เมตร จากหัวถึงปลายหาง น้ำหนักก็ประมาณ 1.2 – 1.7 ตันครับ แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ มีการจับฉลามขาวยักษ์ที่มีขนาด 6.1 เมตรกว่า หนักถึง 2.8 ตัน ได้

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

6 อันดับสัตว์ร่างกายโปร่งแสง

.....กลับมาเจอกับบทความจัดอันดับสัตว์กันอีกแล้วครับ ช่วงนี้ทำบทความแบบนี้ค่อนข้างบ่อย แต่ก็น่าสนใจ สำหรับคราวนี้จะนำเสนอเรื่อง 6 อันดับสัตว์ที่มีร่างกายโปร่งแสงครับ ทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ จะมีสัตว์ชนิดไหนบ้างนั้น เรามาติดตามดูกันครับ

อันที่ 1 กบแก้ว (Glass Frog)

.....เจ้ากบอ๊บ อ๊บ โปร่งแสงตัวนี้ อาศัยอยู่ในถิ่นแถบอเมริกาใต้ มีด้วยกันอยู่หลายชนิด ก็ตามชื่อมันนั่นแหละครับ ที่ได้ชื่อว่ากบแก้ว ก็มาจากร่างกายที่โปร่งใสจนสามารถมองทะลุไปเห็นตับไตไส้พุงของมันนั่นเอง เจ้ากบตัวนี้มีขนาดลำตัวประมาณ 3 – 8 เซนติเมตร ตัวเล็กจ้อยเลยว่างั้น ลำตัวออกสีเขียวแก่ไปจนถึงเขียวอ่อน แต่ก็ใสจนสามารถมองเห็นอวัยวะภายในได้ชัดเจน อาหารของมันก็ได้แก่สัตว์หรือแมลงที่ตัวเล็กกว่า แม้กระทั่งกบเล็กหรือลูกมันเอง ก็กินหมดครับ โหดไม่ใช่เล่น 

ใสจนเห็นตับไตไส้พุงกันเลยทีเดียว

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

5 อันดับนกที่บินเร็วที่สุดในโลก

มาถึง 5 อันดับนกที่บินเร็วที่สุดในโลกครับ

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ฉลามก็อบลิน (Goblin Shark)

...เมื่อคราวก่อนได้นำเสนอเรื่องราวของฉลามก่อนประวัติศาสตร์ หรือ ฉลามหกเหงือก (Frilled Shark) ไปแล้ว คราวนี้ขอนำเสนอ ฉลามก็อบลิน (Goblin Shark) บ้างครับ รูปร่างแปลกพอๆ กัน
...ฉลามก็อบลินค้นพบเป็นครั้งแรกที่ญี่ปุ่น เมื่อปี ค..1897 ในทะเลซางามิใกล้กับโยโกฮาม่า โดยชาวประมงชาวญี่ปุ่น ชื่อของมันนั้นถูกถอดคำมาจากภาษาญี่ปุ่นที่เรียกเจ้าฉลามชนิดนี้ว่า เท็นงูซาเมะ ที่ชาวประมงใช้เรียกมัน เนื่องจากเจ้าฉลามตัวนี้มีจมูกยาว เหมือนอสูรในตำนานของประเทศญี่ปุ่น จาก เท็นงู ก็แปลไปเป็น ก็อบลิน ในเวลาต่อมาครับ

...ฉลามก็อบลินเป็นฉลามน้ำลึก อาศัยอยู่ในทะเลเปิด ที่มีความลึกกว่า
300-1200 เมตร เรียกได้ว่าลึกมากเลยทีเดียว มันไม่ค่อยได้เข้ามายังชายฝั่งให้เราได้เห็นตัวกันง่ายๆ ส่วนใหญ่พบได้ในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก ไปจนถึงมหาสมุทรแอตแลนติก ที่ออสเตรเลีย อ่าวเม็กซิโก โปรตุเกสก็เคยมีบันทึกว่าจับเจ้าฉลามก็อบลินนี่ได้เหมือนกันครับ แต่ที่จับกันมาได้นั้น ส่วนใหญ่ก็มาจากเรือประมงญี่ปุ่นแทบทั้งสิ้น ชาวญี่ปุ่นนี่หาปลาได้เก่งไม่ใช่เล่นเลยทีเดียวครับ ปลาวาฬก็ล่า ปลาฉลามก็จับ ปลาทะเลก็กิน สมเป็นลูกทะเลจริงๆ

คาไซเร็กซ์ (Kasai Rex)

.....กลับมาพบกับบทความสัตว์ลึกลับอีกเช่นเคยครับ คราวนี้เอาของเก่ามากินใหม่อีกแล้วครับ บทความเรื่องนี้เคยทำไว้เมื่อ 5-6 ปีมาแล้ว สมัยยังอยู่ในเวบ Myth วันนี้ขอนำกลับมาปัดฝุ่นใหม่ครับ แต่ก็ยังคงเดิมไว้ซึ่งเนื้อหาและถ้อยคำ ที่ตอนแรกตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงบ้างเพื่อความเหมาะสม แต่คิดอีกไม่เปลี่ยนดีกว่าครับ เพื่อความคลาสสิคของต้นฉบับเอง แหม ว่าเข้านั่นครับ ไม่เสียเวลาล่ะ เชิญผู้ชมติดตามอ่านได้เลยครับ

**********

.....ถ้าเอ่ยถึงชื่อ คาไซเร็กซ์ ขึ้นมา หลายคนอาจจะสงสัยว่ามันคือตัวอะไร หรือสงสัยว่ามันอาจจะเป็นไดโนเสาร์ประเภทเดียวกันกับ ทีเร็กซ์ หรือ ไทรันโนซอรัส เร็กซ์ (Tyrannosaurus Rex) ราชาไดโนเสาร์กินเนื้อแห่งโลกล้านปีอะไรนั่นหรือเปล่า ก็เห็นมีคำว่า เร็กซ์ๆ เหมือนกันอะไรประมาณนั้น ครับ บางทีคาไซเร็กซ์อาจจะเป็นไดโนเสาร์สายพันธุ์เดียวกัน หรือใกล้เคียงกันกับทีเร็กซ์ก็เป็นได้ ไม่ก็อาจจะเป็นเจ้าตัวทีเร็กซ์ เองเลย ที่ยังเหลือรอดชีวิตมาจากยุคจูราสสิคมาสู่ยุคปัจจุบันนี้ ถ้าอยากรู้ว่าคาไซ เร็กซ์คือตัวอะไร อันนี้เชิญติดตามได้เลยครับ

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สไปโนซอรัส อีจิพติคัส (Spinosaurus Aegypticus)

.....จากคราวก่อนที่เคยนำเสนอ 10 อันดับไดโนเสาร์กินเนื้อที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไปแล้ว และแชมป์ก็คือ สไปโนซอรัส อีจิพติคัส (Spinosaurus Aegypticus) เจ้ากิ้งก่ามีแผงหลังยักษ์ใหญ่นั่นเองครับ สำหรับบทความนี้จะเป็นส่วนขยายเพิ่มเติมรายละเอียดกันอีกซักเล็กน้อยครับ พร้อมแล้วเชิญชมได้เลยครับ

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Animalia ไฟลัม: Chordata ชั้น: Reptilia อันดับใหญ่: Dinosauria อันดับ: Saurischia อันดับย่อย: Theropoda วงศ์: Spinosauridae วงศ์ย่อย: Spinosaurinae ตระกูล: Spinosuarus
..สไปโนซอรัส อีจิพติคัส  หรือที่อาจจะคุ้ยเคยกันในชื่อ สไปโนซอรัส กิ้งก่ายักษ์นักล่าจากยุคดึกดำบรรพ์ ที่มาจากภาพยนตร์ จูราสสิค พาร์ค 3 นั่นเองครับ สไปโนซอรัสนั้นถูกขุดค้นพบซากฟอสซิลครั้งแรกในปี ค.ศ.1910 ที่ผ่านมา จากประเทศอียิปต์ครับ และถูกนำวิจัยและรายงานตีพิมพ์ทางวิชาการเป็นครั้งแรก ก็เมื่อ ปี ค..1915 โดยนักบรรพชีวินวิทยาชาวเยอรมัน เอินร์ส สโตรเมอร์ (Ernst Stromer) พร้อมทั้งซากฟอสซิลที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยมีการค้นพบกันมาเลยทีเดียวครับ 

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

5 อันดับสัตว์ที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก

.....กลับมาเจอบทความสัตว์โลกน่ารักกันอีกแล้วนะครับ กับ 5 สุดยอดนักวิ่ง สำหรับบทความนี้จะนำเสนอเรื่องอันดับของสัตว์ที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก โดยจัดอันดับจากสัตว์บกและวิ่งสี่เขาเท่านั้นครับ ไม่เกริ่นเยอะละครับ มาลองดูผู้ที่เข้ามาในแต่ละอันดับกันเลยครับ ว่าเป็นสัตว์ชนิดไหน เริ่มจากอันดับที่รั้งท้ายก่อนเลย

อันดับที่ 5 กวางทอมสัน กาเซลล์ (Thomson’s Gazelle)
Speed : ความเร็วในการวิ่ง : 81 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

.....ทอมสัน กาเซลล์ หรือชื่อที่เราคุ้นเคยกันดีว่า กวางกาเซลล์
นั้นวิ่งเข้ามาอยู่อันดับที่ 5 ครับ เป็นสัตว์ในตระกูลกวาง โดยชื่อของมันถูกตั้งขึ้นตามชื่อของนักสำรวจและนักธรณีวิทยาชาวสก็อตแลนด์ โจเซฟ ทอมสัน (Joseph Thomson) กาเซลล์ รูปร่างเมื่อโตเต็มวัยของตัวผู้มีความสูงถึงหัวไหล่เฉลี่ยประมาณ 3 ฟุต น้ำหนัก 23 – 28 กิโลกรัม ไม่นับรวมเขา ขนสีน้ำตาลปกคลุมทั่วลำตัว ลายขาวพาดดำบริเวณท้อง เขายาวโค้งไปข้างหลัง สำหรับตัวเมียแล้วจะเล็กกว่านิดหน่อยและไม่มีเขา เจ้ากาเซลล์มักถูกเสือชีตาห์เล็งให้เป็นเหยื่ออันดับต้นๆ แต่เนื่องด้วยมีน้ำอดน้ำทนในการวิ่งที่นานกว่าเสือชีตาห์ จึงทำให้การจับกาเซลล์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ กาเซลล์นั้นมีประสาทหูที่ดีมาก แค่เพียงเสียงแหวกพงหญ้า มันก็สามารถได้ยินได้ ซึ่งที่มันมีประสาทหูที่ดีนั้น เนื่องจากจะได้เอาไว้จับการคลื่นไหวของนักล่าก่อนที่จะมาเข้าใกล้ระยะประชิดตัวนั่นเอง กาเซลล์นั้นอาศัยกระจายอยู่ทั่วไปในประเทศเคนยา และแทนซาเนีย ทวีปแอฟริกา ในอดีตเคยมีรายงานว่า กาเซลล์ นั้นมีอยู่ประมาณ 500,000 ตัว แต่จากรายงานล่าสุดในปัจจุบันนี้ มันมีจำนวนเหลือไม่ถึงครึ่งแล้วครับ เนื่องจากสาเหตุหลายปัจจัย เช่น มนุษย์รุกราน การสูญเสียถิ่นฐานอาศัย และการล่าสัตว์


อันดับที่
4
วิวเดอร์บีสท์ (Wildebeest)

Speed : ความเร็วในการวิ่ง 75-80 กิโลเมตร / ชั่วโมง

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คองกาเมโต้ วิหคสายฟ้า (Kongamato)

.....วันนี้มีโอกาสจัดเรียงไฟล์ในคอมใหม่ เปิดไปเปิดมาก็เจอบทความเก่าๆ ที่เคยทำไว้เมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้นก็ได้ส่งไปลงเวบ Myth ของคุณโซนิค และได้เขียนประจำอยู่คอลัมภ์พวกสัตว์ประหลาดอะไรเทือกนี้ ก็ละๆ ทำๆ เรื่อยมาครับ วันนี้พอดีเปิดเจอ สบโอกาสจึงเอามาลงซะเลยครับ ภาษาที่ใช้สมัยนั้นยังเป็นวันรุ่นอยู่เลย เอาไว้มีโอกาสจะปรับปรุงบทความนี้ใหม่ครับ ไม่รอช้าครับ ไปชมกันเลย
***************
งานสมัยเคยลงในเวบ Myth
.....เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องราวของไดโนเสาร์อีกเช่นกันครับ แต่จะเป็นชนิดไหนนั้นอ่านเอาได้เลยกับ คองโต้ ขอเรียกสั้นๆ ว่างี้ก็แล้วกัน แต่บางคนอาจจะนึกไปถึงก็องโต้ หึหึ เรื่องราวการพบเห็นคองโต้ครั้งแรกนั้น เริ่มมาจากเมื่อ ปี ค.ศ.1932 แน่ะครับ จากบันทึกของ เพอร์ซีย์ สเลเดน (Percy Sladen) จอร์จ (George) และ แซนเดอร์สัน (T. Sanderson) นักสัตววิทยาและนักเขียนที่ถูกจ้างจากพิพิธภัณฑ์อังกฤษ (British Museum) ให้เดินทางไปแอฟริกาตะวันตกเพื่อทำธุระให้ทางพิพิธภัณฑ์ 

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เวลโลซิแร็พเตอร์

….กลับมาพบบทความเกี่ยวกับไดโนเสาร์อีกเช่นเคยครับ พอดีเมื่อวานได้ชมภาพยนตร์เรื่อง จูราสสิค พาร์ค ภาคแรก ถึงจะดูมาเป็นสิบรอบแล้วก็ยังรู้สึกตื่นเต้นกับโลกยุคจูราสสิคที่ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เนรมิตขึ้นมาอยู่ทุกครั้งเลยครับ เป็นเรื่องที่ยังหยิบยกมาดูได้เรื่อยๆ แม้ในปัจจุบัน สำหรับไดโนเสาร์เด่นๆ ในเรื่องก็เห็นจะหนีไม่พ้นเจ้าไดโนเสาร์ยักษ์ใหญ่ ทีเร็กซ์ กับไดโนเสาร์นักล่า เวลโลซิแร็พเตอร์ นี่แหละครับ สำหรับบทความนี้เราจะมากล่าวถึงเจ้าเวลโลซิแร็พเตอร์โดยเฉพาะครับ ทีเร็กซ์เอาไว้คราวหน้าครับ ข้อมูลคร่าวๆ ของ เวลโลซิแร็พเตอร์ มันถูกจัดอยู่ในวงศ์ย่อยของ เวลโลซิแร็พทอริแน (Velocipatorinae) ซึ่งอยู่ในวงศ์ ดรอมาซอริแด (Dromaeosauridae) อีกชั้นหนึ่ง เจ้าเวลโลซิแร็พเตอร์นี้มีชีวิตอาศัยอยู่เมื่อประมาณ 70-85 ล้านปีมาแล้ว ในช่วงปลายของยุคครีเตเชียส และมีการค้นพบซากฟอสซิลเป็นครั้งแรกที่ประเทศมองโกเลียครับ ในปี ค.. 1924 โดย ออสบอร์น เฮ็นรี่ นักบรรพชีวินวิทยาและชีววิทยาชาวอเมริกัน


กุสตาฟ จระเข้ยักษ์แห่งบุรุนดี

.....บทความคราวนี้เป็นเรื่อง จระเข้ยักษ์แห่งประเทศบุรุนดี นามว่า “กุสตาฟ” ครับ เจ้าจระเข้ กุสตาฟ (Gustave the killer, Gustave the crocodile) เป็นจระเข้เพศผู้ อาศัยอยู่ในแม่น้ำไนล์ แถบประเทศบุรุนดี ทวีปแอฟริกา เป็นจระเข้เพชรฆาตที่คร่าชีวิตสิ่งมีชีวิตไปแล้วมากมาย คาดกันว่า กุสตาฟ นั้นมีอายุประมาณ 60 ปี ความยาวตั้งแต่หัวจรดหางโดยประมาณ 6 เมตร และน้ำหนักกว่า 1 ตัน ด้วยขนาดยักษ์ใหญ่เท่านี้ แม้แต่ฮิปโปตัวโตเต็มวัยก็ยังไม่กล้ายุ่งกับมันเลยครับ กล่าวกันว่าอาณาเขตหากินของ กุสตาฟ นั้น ท่องไปตาม แม่น้ำรุซิซี่ (Ruzizi River) จรดถึง ทะเลสาบทังกันยิกา (Lake Tanganyika) ซึ่งเป็นระยะทางหลายสิบกิโลเมตรเลยทีเดียว กุสตาฟ นั้นเป็นจระเข้กินคนครับ กล่าวกันว่ามันสังหารมนุษย์ไปแล้วกว่า 300 คน ที่รอดมาได้แต่ร่างกายพิการ ก็อีกเป็นจำนวนมาก และนอกจากมนุษย์แล้ว ตัววิลเดอร์บีสท์ หรือแม้แต่ฮิปโปที่เป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวที่จระเข้ไม่กล้าตอแยด้วยก็ยังไม่กล้าเสี่ยงกับ กุสตาฟ บางครั้งแม้แต่ฮิปโปตัวโตเต็มวัยแล้ว ก็ยังตกเป็นเหยื่ออันโอชะของเจ้ากุสตาฟได้ด้วยซิครับ นาม กุสตาฟนั้น แพททริซ เฟย์ (Patrice Faye) พรานชาวฝรั่งเศสที่อาศัยอยู่ในบุรุนดีเป็นคนตั้งให้ครับ 

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Funny Photo : Click 7 - Cyborg Animals

.....พบกันภาพน่ารัก ดูแล้วอมยิ้มกันอีกครั้งครับกับ ตอนที่ 7 ครับ เคยคิดกันบ้างมั๊ยครับ ว่าถ้าสัตว์ที่เรารู้จักกันดีนั้น ถูกดัดแปลงกลายเป็นหุ่นไซบอร์กขึ้นมา มันจะมีรูปร่างประหลาดขนาดไหนกัน ว่าแล้วอย่ารอช้าครับ เราไปชมกันเลยดีกว่า ว่ามีสัตว์ชนิดไหนกันบ้าง
หุ่นเต่าทอง นำมาทำเป็นสายลับก็ไม่เลวนะครับ

เจ้าลิงตัวนี้คงต้องเลิกหาหมัดชั่วคราว เพราะคงต้องซ่อมเพื่อนมันก่อน


วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

ฉลามก่อนยุคประวัติศาสตร์ (Prehistoric shark)

.....พบกันอีกเช่นเคยครับ บทความนี้ เป็นเรื่องราวของฉลามก่อนยุคประวัติศาสตร์ เจ้าที่ว่านี่คือ ฉลามเหงือก (Frilled Shark) ครับ ที่มีการพบเจอกันโดยบังเอิญ ก็เลยนำมาเล่าสู่กันฟังครับ เจ้าฉลามพันธุ์นี้อาศัยอยู่ในทะเลมายาวนานหลายล้านปีแล้วครับ หากจะเรียกว่า ฟอสซิลที่ยังมีชีวิตอยู่ (Living fossil) ก็ยังได้ครับ มันถูกค้นพบเมื่อ เดือนมกราคม ปี ค..2007 จากชาวประมงท้องถิ่นแถบจังหวัดชิสุโอกะ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศญี่ปุ่นครับ ซึ่งพบเจอมันว่ายอยู่ใกล้กับผิวน้ำ จึงแจ้งกับเจ้าหน้าที่ในเวลาต่อมาครับ มีการถ่ายวิดีโอเพื่อบันทึกเป็นหลักฐานเอาไว้ แล้วนำตัวมันไปยัง สวนสัตว์น้ำอะวาชิม่า (Marine’s Park Awashima) เพื่อศึกษามันครับ และภายหลังจากที่ถูกจับและย้ายไปที่สวนสัตว์น้ำอะวาชิม่าได้ไม่กี่ชั่วโมง มันก็เสียชีวิตครับ เนื่องจากสภาพที่อ่อนแออยู่แล้ว และจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า เจ้าฉลามตัวนี้ดำรงสายพันธุ์มานานกว่า 80 ล้านปีแล้วครับ และลักษณะรูปร่างทางกายภาพของมันนั้นแทบจะไม่เปลี่ยนไปจากบรรพบุรุษดั้งเดิมของมันเท่าใดนัก

.....ปกติแล้วฉลามชนิดนี้มักจะอาศัยอยู่ในทะเลลึกครับ ลึกแค่ไหน
? ก็น่าจะประมาณกว่า 500 เมตรจนถึงลึกกว่า 2 กิโลเมตรจากระดับน้ำทะเลลงไปครับ แน่นอนครับว่าลึกกว่าระดับที่มนุษย์อย่างเรา จะลงไปว่ายเล่นได้ หรือถ้าลงได้ก็ซี้แหงแก๋ครับ จากระดับความดันมหาศาลที่จะอัดมนุษย์ให้เป็นกล้วยปิ้งได้ การที่พบมันในลักษณะเช่นนี้นับว่าหาได้ยากทีเดียว จากการตรวจสอบพบว่าอาจจะเป็นเพราะกระแสน้ำผิดปกติทำให้เจ้าฉลามตัวนี้ปรับตัวไม่ทัน ทำให้สภาพร่างกายอ่อนแอ เลยหลงขึ้นมาใกล้กับผิวน้ำจนโดนจับได้นั่นเองครับ 

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

Funny Photo : Click 6 - Croc Funny Ads

พบกันภาพน่ารัก แปลกๆ กันอีกครับกับ สำหรับตอนนี้ Click 7 แล้ว ยังเป็นตอนที่เกี่ยวกับจระเข้เช่นเคยครับ แต่คราวนี้มาในรูปงานโฆษณาแนวๆ หน่อย บางอันก็คิดได้ลึกล้ำทีเดียวครับ บางอันก็ดูแล้วขำๆ ดี เอาเป็นว่าติดตามกันเลยดีกว่า มาเปิดกันที่ภาพแรก แต่ก็ขออธิบายทีละภาพแล้วกันนะครับว่าเป็นแบบไหน
ภาพที่ 1 โฆษณาโรงเรียนสอนกระโดดร่ม
.....เป็นงานโฆษณาของโรงเรียนสอนกระโดดร่มที่เมืองนอกครับ (ใครสนใจลองไป Google ดูเอานะครับ) งานนี้เอาจระเข้มาเป็นจุดขายครับ โดยมีคำโปรย (Catch phrase) อยู่นิดหน่อยทางขวามือตรงโลโก้ด้านล่างครับ โดยโฆษณาก็จะเป็นภาพเท้าของผู้ชายคนนึง เหมือนกำลังตกลงไปในบึงที่มีจระเข้เต็มไปหมด ดูแล้วไม่อยากนึกถึงสภาพของผู้ชายคนนี้เลย ……การสื่อความหมายของใบปิดนี้ ก็ต้องการบอกแก่ผู้ชมนัยๆ ครับว่า ถ้าไม่อยากเป็นแบบชายหนุ่มในภาพนี้ละก็ เลือกโรงเรียนสอนโดดร่มให้ดีๆ หน่อย ไม่งั้นอาจเป็นแบบในภาพได้…..อะไรประมาณนี้น่ะครับอย่ามองลงข้างล่าง มันสยอง


วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

เอเลี่ยนบนดาวอังคาร (Humanoid Figure on Mars)

.....กลับมาบทความที่เกี่ยวกับความลึกลับบนดาวอังคารกันอีกครั้งครับ คราวนี้เป็นเรื่องของภาพแปลกๆ ที่ถ่ายได้จากดาวอังคารกันครับ อันที่จริงแล้ว ภาพถ่ายวิวจากดาวอังคารแบบต้นฉบับนั้นมีด้วยกันอยู่หลายร้อยภาพทีเดียวครับ ทางนาซ่าเอง เขาก็อนุญาตให้ผู้ที่สนใจ สามารถเข้าไปดาวน์โหลดได้จากเวบของนาซ่าได้เลยครับ แต่นอนว่าภาพเหล่านี้นั้นผ่านการตรวจสอบจากนาซ่ามาแล้วว่าสามารถให้เผยแพร่ได้ แล้วภาพที่นาซ่านำมาเผยแพร่ไม่ได้นั้น อันนี้ก็น่าคิดครับว่า อาจจะมีบางลับบางอย่างที่ตอนนี้ยังไม่สามารถให้ประชาชนรับรู้ได้

….เกริ่นไปซะเยอะ สำหรับบทความนี้ ก็จะนำเสนอภาพหนึ่งที่ดูแล้วเหมือนกับรูปร่างของ “บางสิ่ง ที่ดูคล้ายสิ่งมีชีวิตที่นั่งอยู่บนก้อนหิน บนดาวอังคาร ภาพนี้ถ่ายได้จากยาน สปิริต มาร์ส เอ็กซ์โพลเรอร์ (Spirit Nasa’s Mars Explorer) ครับ บ้างก็ว่าว่าเหมือนเจ้าตีนโต ไม่ก็เจ้าตัวชิวบัคก้าไปซะงั้น


ภาพถ่ายจากระยะไกล

10 อันดับไดโนเสาร์กินเนื้อที่ใหญ่ที่สุดในโลก : ตอนที่ 2

ขนาดเปรียบเทียบไดโนเสาร์ยักษ์ใหญ่แต่ละชนิด


.....มาถึงบทความตอนที่ 2 สำหรับ 10 อันดับไดโนเสาร์กินเนื้อที่ใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยมีการค้นพบกันมาครับ จริงๆ แล้วการจัดแบ่งประเภทหรือขนาดไดโนเสาร์นี่ ยังมีการแตกแยกออกไปอีกหลายแขนงเลยครับ เช่น การแบ่งไดโนเสาร์ด้วยน้ำหนัก การแบ่งไดโนเสาร์ด้วยขนาดความยาว เป็นต้นครับ แต่อันดับที่นำมาให้รับชมกันนี้ วัดจากพื้นฐานที่ขนาดและความยาวเป็นหลักครับ สำหรับเมื่อตอนที่แล้ว ได้นำมาให้รู้จักกันถึงอันดับที่ 7 แล้ว และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาต่อกันที่อันดับที่ 6 ต่อได้เลยครับ

อันดับที่ 6 ชิลันไทซอรัส (Chilantaisaurus).....ไดโนเสาร์ผู้เข้ารอบชนิดนี้มาจากยุคครีเตเชียสตอนปลายครับ หรือประมาณ 92 ล้านปีก่อน ฟังจากชื่อแล้วก็อาจจะพอทราบว่า มันถูกค้นพบที่ประเทศจีนนี่เองครับ เมื่อปี ค..1964 เมื่อไม่นานมานี้เอง จากนักโบราณคดีชาวจีนชื่อ ฮู (Hu) เช่นเคยกับไดโนเสาร์กินเนื้อนักล่าทั่วไปครับ ที่จะมีกรามและฟันแหลมคมขนาดใหญ่เอาไว้จับเหยื่อ เดินสองขา น้ำหนักโดยประมาณ 4-6 ตัน ความยาวจากหัวถึงปลายหางประมาณ 13 เมตรครับ จากการศึกษาพบว่ามันเป็นญาติที่อยู่ในวงศ์เดียวกันกับอัลโลซอรัสและคาร์โนซอรัสครับ

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

10 อันดับไดโนเสาร์กินเนื้อที่ใหญ่ที่สุดในโลก : ตอนที่ 1

.....หากจะกล่าวย้อนหลังไปซักหลายร้อยล้านปีมาแล้ว ในสมัยที่โลกยังเป็นยุคโบราณยังไม่มีมนุษย์กำเนิดขึ้นมา มีสัตว์อยู่ประเภทหนึ่งที่ครองโลกอยู่ ใช่แล้วครับ เจ้าสัตว์ที่ว่านี่ก็คือ ไดโนเสาร์นั่นเอง คำว่า “ไดโนเสาร์” นั้นมีที่มาจากภาษากรีกสองคำครับ คือ ไดโนส (Deinos) ที่ว่าแปล ทรงพลังและน่าเกรงขาม กับ ซอโรส (Sauros) ที่แปลว่า กิ้งก่า นั่นเองครับ ส่วนคำว่า ไดโนซอร์ (Dinosaur) หรือไดโนเสาร์ นั้นถูกตั้งโดยนักบรรพชีวินวิทยาชาวอังกฤษ ริชาร์ด โอเว่น (Richard Owen) เมื่อปี ค..1942 ครับ การค้นพบไดโนเสาร์นั้นมีมานับพันปีแล้วครับ หากแต่เราเพิ่งมารู้จักกับไดโนเสาร์ว่ามันเป็นสัตว์แบบไหน กินอะไรเป็นอาหาร อาศัยอยู่อย่างไร ก็เมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี่เอง ซากกระดูกฟอสซิลของไดโนเสาร์เอง นี่ก็เป็นที่มาของสัตว์ในจินตนาการอย่างเช่น มังกรนั่นเองครับ
.....การค้นพบฟอสซิลไดโนเสาร์และนำมาตีพิมพ์ในงานวิจัยครั้งแรกนั้น เกิดขึ้นเมื่อ ค..1821 ครับ จากศาตราจารย์ทางชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด วิลเลี่ยม บัคแลนด์ (William Buckland) โดยซากฟอสซิลของไดโนเสาร์ตัวนี้ก็คือ เมกกะโลซอรัส (Megalosaurus)
ไดโนเสาร์ตัวแรกที่มีการค้นพบฟอสซิลอย่างเป็นทางการ
ส่วนฟอสซิลไดโนเสาร์ตัวที่สองของโลกที่มีการค้นพบก็คือ อิกัวโนดอน (Iguanodon) ครับ ค้นพบโดย แมรี แอน แมนเทล (Mary-Ann Mantell) ภรรยาของ กิเดียน แมนเทล (Gideon Mantell) นักชีววิทยาชาวอังกฤษ ส่วนชื่ออิกัวโนดอน นั้น กิเดียน ได้แรงบันดาลใจมาจากกระดูกของกิ้งก่าอิกัวน่า ซึ่งมีลักษณะคล้ายกันกับฟอสซิลที่ค้นพบ ก็เลยตั้งชื่อว่าอิกัวโนดอนซะเลย

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2554

โมเคลลี มเบมเบ้ (Mokele Mbembe) สัตว์ผู้หยุดสายน้ำ

......เมื่อวันก่อนได้มีโอกาสชมสารคดีทางช่อง National Geographic ครับ เป็นซีรี่ยส์ Beast Hunterว่าด้วยเรื่องของการตามล่าสัตว์ในตำนานที่เล่าขานกันทั่วโลก ตอนที่รับชมนั้นเป็นเรื่องของการตามหาตัวของสัตว์ลึกลับที่ประเทศคองโกครับ ชื่อของมันก็คือ โมเคลเล มเบมเบ้ (Mokele Mbembe) ครับ ออกเสียงยากเล็กน้อย เลยนึกถึงเรื่องบทความเจ้าสัตว์ตัวนี้ ที่แต่ก่อนเคยทำไว้ลงที่เวบ Myth เมื่อนานมาแล้วครับ นำมาลงไว้อีกครั้งเผื่อจะมีผู้ที่สนใจอ่านอีกนะครับ ในส่วนของข้อมูลนั้นได้ทำการแก้ไขให้กระชับขึ้น เพราะกลับมาอ่านอีกที แต่ก่อนเขียนใส่น้ำไปซะเยอะ เลยต้องปรุงใหม่ซะหน่อยและก็เพิ่มข่าวล่าสุดที่มีการกล่าวถึงเจ้าโมเคลลีนี้ด้วยเล็กน้อยครับ ว่าแล้วก็เชิญรับชมกันได้ตามอัธยาศัยเลยครับ
******
จากที่เคยลงในเวบ Myth ครับ

…..คราวนี้จะพาไปติดตามเรื่องของสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งหรือสายพันธุ์หนึ่ง ซึ่งเป็นสัตว์ลึกลับที่ยังไม่ปรากฏหลักฐานมีอยู่อย่างเป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่คำบอกเล่าจากปากของพยานที่อ้างว่าพบเห็นเท่านั้น เจ้าสัตว์ลึกลับนี้ก็คือ "โมเคลเล มเบมเบ้ " ภาษาคองโกนั้นความหมายว่า "ผู้หยุดสายน้ำ"ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554

Funny Photo : Click 5 - Photoshop Croc

พบกันภาพน่ารัก ดูแล้วอมยิ้มกันอีกเช่นเคยครับกับ Funny Photo ตอนที่ 5 แล้ว ตอนนี้ชื่อว่า Photoshop Croc เป็นภาพตกแต่งที่เอา จระเข้มาผสมเข้าสัตว์แต่ละชนิดด้วยโปรแกรมแต่งรูป Photoshop เหมือนเช่นเคยครับ ดูกันพอเพลินๆ มาประเดิมด้วยรูปแรกกันเลยดีกว่าจระเข้ผสมกับนก ก็ดูเข้าท่าดีเหมือนกันครับ

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

แผ่นไฟตอส (Phaistos Disc)

วันก่อนได้อ่าน CMB มีอยู่ตอนหนึ่งว่าด้วยเรื่องของ แผ่นไฟตอส (Phaistos Disc) นี้ เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยนำมาทำเป็นบทความอันนี้ขึ้นมาครับ แผ่นไฟตอสนั้นว่าไปแล้วก็นับได้ว่าเป็นวัตถุโบราณที่มีความคาบเกี่ยวอยู่กับวัตถุเหนือกาลเวลา หรือโอพารทส์ (Ooparts) อีกชิ้นหนึ่งก็ว่าได้ แต่จะเพราะอะไรนั้น เชิญติดตามอ่านกันได้เลยครับ

สำหรับเรื่องเล่าคราวนี้ย้อนหลังไปเมื่อปี ค..1908 นักโบราณคดีชาวอิตาลี ลุยจิ เพอร์นิเออร์ (Luigi Pernier) ได้ค้นพบแผ่นเครื่องปั้นดินเผาวงกลมชิ้นหนึ่งในห้องใต้ดิน ที่เมืองไฟตอส บริเวณ พระราชวังไมนอน (Minoan palace) แถบทางใต้ของเกาะครีต ประเทศกรีซ ที่นี่นับว่าเต็มไปด้วยกลิ่นไอทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีนะครับ ว่าไปแล้วมีการขุดค้นพบโบราณสถานหรือโบราณวัตถุซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์จากกรีซ มีอยู่นับไม่ถ้วนทีเดียวนะครับ ไม่ว่าจะเป็นซากเมืองกรุงทรอย เครื่องจักรกลแอนติคีเธร่านี่ก็ใช่ครับ และอื่นๆ อีกมากมายเยอะแยะไปหมด


คาดกันว่าแผ่นไฟตอสนั้น อาจจะถูกสร้างขึ้นในยุคทองเหลือง (Bronze Age) หรือราวสองพันปีก่อนประวัติศาสตร์ครับ ซึ่งลักษณะของแผ่นไฟตอสนั้นมีรูปร่างกลมแบน ทำจากดินเหนียวผสม และใช้กรรมวิธีการเผาไฟเพื่อขึ้นรูปแบบเดียวกันกับที่ใช้กับเครื่องปั้นดินเผาทั่วๆ ไปนั่นเองครับ และขนาดของแผ่นไฟตอสนั้นก็นับว่าไม่ใหญ่เท่าใดนัก มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 เซนติเมตรหรือเท่ากับแผ่นจานข้าวเท่านั้นเอง ลวดลายประกอบไปด้วยสัญลักษณ์และลายเส้นวงกลมวิ่งเข้าหาศูนย์กลาง ตามเข็มนาฬิกา และมีลวดลายปรากฏอยู่ทั้งสองด้าน หรือรูปที่แสดงอยู่ทางด้านซ้ายมือนั่นแหละครับ ดูน่าพิศวงดีทีเดียว
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...