Ads by Adyim

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เรื่องลึกลับฉบับย่อ

กลับมาอัพเดตกันอีกครั้งครับ หลังจากห่างหายไปนาน อัพเดตบทความนี้ก็ขออนุญาตนำบทความเก่ากลับมาให้อ่านกันใหม่สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เคยผ่านตา จริงๆ แล้วบทความชิ้นนี้ทำไว้นานแล้วเหมือนกันครับ สมัยยังมี "เวบ Myth" และยังใช้ชื่อ "นายโอ" อยู่ ในตอนนั้นบทความนี้ใช้ชื่อว่า 7 อันดับเรื่องลึกลับ

วันนี้มีเวลาอัพเดตก็เลย ค้นงานเก่าๆ เอามาลงกันใหม่อีกรอบกับบ้านใหม่หลังนี้ ในส่วนเนื้อเรื่องก็ได้ทำการตัดทอนบางส่วนออกไปบ้างครับ เพื่อความกระชับและอ่านง่ายขึ้น  เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปติดตามกันเลยครับ

**********
(1.) สัตว์ที่ถูกฝังในหิน (Animals Encased in Stone)
ชื่ออาจจะฟังดูสยองหน่อยนะครับ แต่เรื่องนี้ถูกจัดให้อยู่ในอันดับเรื่องแปลกและลึกลับอยู่เหมือนกัน ว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ที่ถูกหินห่อหุ้มหรือถูกฝังอยู่ในหินบ้าง ดินบ้าง ต้นไม้บ้าง ว่าไปมันก็น่าสนใจทีเดียวครับ ว่าทำไมสัตว์เหล่านี้ถึงอยู่ถูกฝังอยู่ในเนื้อต้นไม้ ในดิน ในก้อนหินแล้วมีชีวิตรอดอยู่มาได้อย่างยาวนานภายใต้สภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตอยู่แบบนั้นได้ ไม่เพียงเป็นสิบหรือร้อยปี แต่บางทีอาจจะเป็นแสนหรือล้านปีก็เป็นได้ แล้วมันไปทำอะไรอยู่ในนั้น จะว่าถูกหินดินทับหรือสัตว์เหล่านั้นขุดและมุดลงไปเอง มันก็น่าแปลกใจและไม่น่าเป็นไปได้ ก็ได้แต่คาดเดากันไปต่างๆ นานา แต่เหตุผลหรือทฤษฎีที่อธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อย่างชัดเจนแล้ว ปัจจุบันก็ยังหาข้อสรุปมากล่าวกันลำบากอยู่พอดู แต่ทฤษฎีหนึ่งที่ฟังแล้วเข้าท่าที่สุดในตอนนี้ก็คือ ในขณะที่สัตว์ตัวนั้นกำลังอยู่ในสภาวะจำศีล หรืออยู่ในสภาพกึ่งตาย อะไรก็แล้วแต่ ทำให้มันถูกห้อมล้อมด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน และถูกห่อหุ้มอยู่ในภาชนะธรรมชาติ และมีอายุยืนยาวนานหลายสิบหลายร้อยปี จนกระทั่งมนุษย์ไปพบเข้าเป็นที่มาของเรื่องราวแบบนี้ขึ้น เรามาชมตัวอย่างรายงานการพบเจอกันซักเล็กน้อยดีกว่าครับ

ค.ศ.1761 นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสได้ตีพิมพ์รายงานการพบคางคกถูกฝังอยู่ในก้อนหิน

ค.ศ.
1818 นักธรณีวิทยาอเมริกัน 2 คนได้ขุดพบกบถูกฝังอยู่ในชั้นหินที่มีอายุมากกว่า 6,000 ปี

ค.ศ.
1821 นาย เดวิด เวอร์ทู (David Virtue) ขุดพบกิ้งก่าฝังอยู่ในชั้นหินลึกราว 22 ฟุต ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เจ้ากิ้งก่าก็สามารถขยับและเคลื่อนไหวได้

ค.ศ.
1856 สำหรับเรื่องนี้หลายคนก็อาจจะทราบกันดี เพราะโด่งดังพอดู มืออสูรฯ ก็เคยนำไปเขียนถึงครับ คือมีการขุดอุโมงค์เพื่อทำทางรถไฟใต้ดินของประเทศฝรั่งเศส แล้วบังเอิญขุดเจอสัตว์โบราณประเภท เทโรซอร์ (Pterosaur) หรือเทราโนดอน (Pteranodon) เข้า ซึ่งหลังจากขุดเจอเพียงไม่กี่นาที เจ้าสัตว์ตัวนี้ก็เริ่มขยับตัวขึ้นอีกครั้งครับ แต่อยู่ได้เพียงไม่นานมันก็ร้องออกมาแล้วขาดใจตายไป โอ้ น่าเสียดายอยู่นะครับเนี่ย

ค.ศ.
1865 หนังสือฮาร์ทเทิลพรูฟ ฟรี เพรส (Hartlepool Free Press) ของอเมริกาได้ตีพิมพ์รายงานการพบคางคกโบราณที่ถูกฝังอยู่ในโพรงชั้นหินปูน ลึกจากพื้น 24 ฟุต จากการตรวจสอบแล้วประมาณกันว่ามันมีอายุราวพันกว่าปีมาแล้ว

ค.ศ.
1876 หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของแอฟริกาใต้ได้รายงานการพบ คางคกถึง 62 ตัว ถูกฝังอยู่ในโพรงต้นไม้ อายุไม่ต่ำกว่า 30-50 ปี เป็นอย่างน้อย

เอาเท่านี้ก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวจะกลายเป็น รายการสารคดีไปซะก่อน ตัวอย่างสัตว์ที่ยกมานี่เหมือนถูกสตัฟฟ์ไว้ในหินชั่วคราว โดยฝีมือของกาลเวลา แต่ทุกตัวต่างก็ฟื้นขึ้นมาและมีชีวิตอยู่ต่อมาได้ บางตัวก็อยู่รอดมาได้อีกเป็นปีหรือหลายปี แต่บางตัวไม่นานก็ตายครับ อะไรทำให้สัตว์เหล่านั้นมีชีวิตในสภาพจำศีลอยู่มาได้นานถึงขนาดนั้น คำถามนี้ยังคาใจนักวิทยาศาสตร์มานาน อาจจะเป็นกลไกการป้อนกันตัวเอง พลังปราณชีวิต พลังในการบังคับร่างกายของตัวสัตว์เองหรือเปล่า

สำหรับบรรดาสัตว์ที่สามารถอยู่รอดมาได้นานนับสิบปีจนไปถึงหลายร้อยพันปีไป โน่น ความลับของการมีชีวิตมาอย่างยืนยาวภายใต้สภาวะจำศีลแบบนั้นคืออะไรกันแน่ แล้วถ้ามีการค้นพบปัจจัยหรือวิธีที่ทำให้สัตว์เหล่านี้สามารถอาศัยและมี ชีวิตรอดมาได้จากสภาพแบบนั้น ความฝันในการมีชีวิตที่ยืนยาวหรือการเป็นอมตะของมนุษย์ก็ อาจจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมก็เป็นได้ครับ ก็เล่าสู่กันฟังมาพอสมควร พอให้รู้จักกันนิดหน่อย สำหรับอันดับแรกก็คงเอาไว้แค่นี้ดีกว่าครับ ไม่เยิ่นเย้อดี เอ้า เราไปชมอันดับต่อไปกันเลยดีกว่า

(2.) แคทเทิล มิวทิเลชั่น (Cattle Mutilations)

สำหรับอันดับนี้คงแทบจะไม่จำเป็นต้องพูดถึงอะไรมากเลยมั๊งครับ ถ้าหากจะนับย้อนไปถึงครั้งแรกๆ ที่มีการรายงานกันเรื่องแคทเทิล มิวทิเลชั่นแล้ว ก็คงจะต้องย้อนกลับไปเมื่อราวปี ค.ศ.1950 ครับ สำหรับประเทศแรกที่มีการรายงานในลักษณะนี้ออกมา ก็คงจะไม่พ้นประเทศอเมริกาครับ ที่รัฐแคนซัส (Kansas) และมินเนโซต้า (Minnesota) โดยจากการรายงานค้นพบบรรดาซากสัตว์ที่ถูกชำแหละโดยวิธีปริศนาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งสาเหตุที่เรียกกันเช่นนี้ก็เพราะ ดูแล้วมนุษย์ธรรมดาๆ ไม่น่าหรือไม่คิดว่าจะกระทำได้น่ะซิครับ และปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ที่ว่าส่วนใหญ่มันมักจะเกิดในช่วงข้ามคืนหรือ ตอนกลางคืนที่บรรดาชาวไร่ ชาวนาหลับอุตุกันอยู่เสียด้วยซิ อะไรมันจะลึกลับขนาดนั้นครับ


ปรากฏการณ์แคทเทิล มิวทิเลชั่น คืออะไร?
มันก็คือการที่สัตว์เลี้ยงเช่น วัว แพะ แกะ ถูกฆ่าและโดนตัดเอาอวัยวะสำคัญบางส่วนไป โดยใช้วิธีการหรือเครื่องมือที่ ทันสมัยและล้ำหน้าเอามากๆ เสียด้วยซิครับ ที่ว่าอย่างนี้ก็เพราะว่าซากของสัตว์ที่โชคร้ายนั้น รอยในการตัดหรือชำแหละนั้นจะบางเรียบเฉียบคม เรียกว่าถ้าหากเป็นหมอละก็ไม่ต้องลงมีดซ้ำกันเลย เพราะความแม่นยำสูงและฝีมือดีมากทีเดียว ที่สำคัญรอยในเลือดตัวหรือรอยที่ถูกตัดของสัตว์แทบทุกตัวนั้นจะไม่มีเหลือ เลยซักหยดเดียวครับ ได้มีหัวข้อสันนิษฐานกันที่หลายคนยอมรับและเห็นตรงกันเรื่องนึง
ว่าเนื้อของสัตว์เหล่านั้นโดนตัดออกไปด้วยสิ่งที่คล้ายกับแสงเลเซอร์คุณภาพสูงอย่างแน่นอน แล้วใครล่ะครับที่พกอุปกรณ์ผ่าตัดแบบเลเซอร์เพื่อนำไปตัดอวัยวะสัตว์ออกมาเล่นๆ ในตอนกลางคืน ?

ปรากฏการณ์ แคทเทิล มิวทิเลชั่น มีสาเหตุมาจาก
?
สาเหตุของปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากอะไร ก็น่าสงสัยอยู่ไม่น้อย ซึ่งหากจะว่ากันไปแล้วการเกิดแคทเทิล มิวทิเลชั่น ได้มีผู้สันทัดกรณีและผู้รู้(มาก) ได้ให้ข้อคิดสรุปและคำอธิบายไว้หลายประเด็นด้วยกันดังนี้ครับ

ประเด็นที่
1. สัตว์เหล่านี้ถูกฆ่าโดยพวกหมาป่าหรือพวกหมาป่าไคโยตี้ครับ ไม่ได้ถูกฆ่าตายด้วยวิธีประหลาดอะไรที่ไหน ซึ่งพวกวัว แกะ แพะ พวกนี้ก็เป็นเหยื่อของหมาป่าอยู่แล้วนี่ ประเด็นนี้ก็พอมีคนเห็นด้วยอยู่แต่ก็น้อย เพราะเหตุผลรองรับยังฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลยน่ะซิครับ ทั้งในเรื่องรอยตัด รอยเลือด และการขนย้ายสัตว์ไปยังจุดเกิดเหตุ ไม่มีร่องรอยหรืออะไรทิ้งไว้เลยน่ะซิครับ ถ้าหากโดนหมาป่าคาบไปจริงๆ แล้ว มันก็น่าจะเหลือร่องรอยอะไรอยู่บ้าง ก็ว่ากันไปครับ แต่ก็ยังเป็นประเด็นที่มีคนสนใจอยู่เหมือนกัน

ประเด็นที่ 2. อันนี้ฮิตมาก ก็คือถูกฆ่าโดยเอเลี่ยนครับ เพื่อที่จะเอาชิ้นส่วนเนื้อเยื่อหรืออวัยวะไปทำการศึกษาระบบของร่างกาย DNA พันธุกรรม อะไรไปโน่น และคำอธิบายนี้มีคนเห็นด้วยค่อนข้างมากครับ เนื่องจากเหตุผลยังพอฟังขึ้นอยู่มาก เช่น การนำตัวหรือขนย้ายสัตว์ไปอย่างเงียบๆ เทคนิคการตัดชิ้นส่วน การนำมาคืนแบบไร้ร่องรอยหรือการทิ้งซากสัตว์ไว้กลางทางโดยที่สัตว์มีรอยแบบ เหมือนโดนโยนลงมาจากที่สูง อะไรแบบนี้ครับ ก็ถือว่าน่าสนใจดีทีเดียวสำหรับประเด็นนี้

ประเด็นที่ 3. อันนี้อาจจะดู แปลกซักหน่อย คือเขาว่าสัตว์เหล่านี้โดนฆ่าเพื่อเอาไปบูชาซาตานครับ โดยจากฝีมือคนกลุ่มนึงหรือพวก Satanic Cults แต่ก็ผู้ที่เห็นด้วยก็ยังมีไม่มากครับ เนื่องจากเหตุผลยังไม่เข้าข่ายที่น่าเชื่อถือเท่าที่ควร เพราะอย่างที่กล่าวไป ถึงลักษณะและสภาพของสัตว์ที่โชคร้ายเหล่านั้น ด้วยฝีมือของมนุษย์ทั่วๆ ไปนี่ อาจจะลำบากทีเดียวครับ

ประเด็นที่ 4. สำหรับข้อนี้เห็น จะขาดไม่ได้ทีเดียวครับสำหรับพวกบรรดานักขี้สงสัย (Skepticism) ทั้งหลาย นั่นก็คือเป็นโครงการทดลองลับของรัฐบาล ที่เกี่ยวกับการดัดแปลงพันธุกรรมสัตว์ต่างๆ นับว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยครับ แต่คนที่ยอมรับก็ยังไม่มากนัก เนื่องจากน้ำหนักเหตุผลยังไม่พอเพียง และผู้ที่ไม่สนับสนุนแนวคิดนี้ ต่างก็แย้งว่าถ้าหากเป็นโครงการลับของรัฐบาลจริงๆ แล้วละก็ ไม่น่าจะแอบมาขโมยสัตว์ของชาวบ้าน ไปทีละตัว สองตัวหรือเป็นฝูงแบบนี้ เพราะหากทางรัฐบาลต้องการทดลองโครงการลับอะไรซักอย่างแล้ว จะเลี้ยงสัตว์หรือเพาะพันธุ์ขึ้นมาทดลองเองกี่ร้อยกี่พันตัวก็ไม่น่าจะมี ปัญหาอยู่แล้ว จะมาแอบลักขโมยทำไมให้เมื่อย
ประเด็นที่ 5. มาปิดท้ายกันที่ข้อนี้ครับ สำหรับประเด็นนี้ นับว่าน่าสนกดีทีเดียว ก็เป็นเรื่องของโรคร้ายของสัตว์บางชนิดครับที่เกิดจากพันธุกรรมของที่ไม่ สมบูรณ์หรืออาจจะเรียกกันง่ายๆ ว่าพันธุกรรมบกพร่องนั่นเอง ซึ่งส่งผลทำให้วันดีคืนดี สัตว์ตัวนั้นโดนโรคร้ายที่เกิดขึ้นภายในร่างกายจู่โจมเข้าจนกลายเป็นอย่าง ที่เห็นกัน แต่บ้างก็ว่าเกิดจากไวรัสในร่างกายของสัตว์ตัวนั้นเอง ที่หันกลับมาเล่นงานร่างกายของสัตว์เสียเอง น่าสนใจไม่น้อยทีเดียวครับ สำหรับแนวคิดของประเด็นนี้

ทั้งหมดนี่ก็คือข้อสังเกตหรือคำอธิบายเรื่องของปรากฏการณ์แคทเทิลฯ ซึ่งคิดว่าเอาแค่พอท้วมๆ ประมาณนี้ก็ไม่เลวนะครับ ไม่ได้ลงไปรายละเอียดมากเท่าไหร่ ถ้าสนใจก็ลองหาอ่านเพิ่มเติมได้เลยครับ

(3.) เสียงลึกลับ (Unexplained Sound, Taos Hum)
สำหรับหัวข้อนี้เราๆ ท่านๆ อาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยหรือรู้จักกันเท่าไหร่ครับ เพราะไม่ใช่เรื่องที่โด่งดังหรือรู้จักกันไปทั่วโลก แต่เป็นเพียงเหตุการณ์ประหลาดเรื่องนึง ที่เกิดขึ้นในอเมริกาและไม่กี่ประเทศเท่านั้นเองครับ ส่วนเหตุการณ์จะเป็นเช่นไรนั้น ก็ติดตามอ่านกันต่อเลยซิครับ มัวช้าอยู่ใย

เรื่องราวก็มีอยู่ว่าในปี ค.ศ.1977 ประชาชนของอเมริกาเกิดได้ยินเสียงประหลาดขึ้นมา ซึ่งลักษณะของเสียงจะคล้ายกับเสียงเหมือนผึ้งบินหรือแมลงที่กำลังบินอยู่ หึ่ง หึ่ง หึ่ง อะไรประมาณนี้น่ะครับ ซึ่งว่ากันว่าถ้าไม่ใช่สถานที่ที่เงียบสงบแล้วก็จะไม่ได้ยินเสียงนี้ครับ โดยเจ้าเสียงที่ว่านี้ดังติดต่อกันตลอดเวลาแต่บางทีก็เว้นจังหวะเป็นระยะแบบ สม่ำเสมอกัน เสียงปริศนานี้เกิดขึ้นอยู่นานครับ โดยที่ยังหาต้นตอของเสียงไม่เจอแต่อย่างใด กระทั่งได้มีการสำรวจและวัดคลื่นความถี่ของเสียงปริศนาออกมาเรียบร้อย ก็ราว 30-80 Hz โดยประมาณครับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ยินเสียงนี้นะครับ คนที่ไม่ได้ยินก็มี ที่ได้ยินก็เยอะ แต่ก็หาสาเหตุไม่พบครับว่าเสียงปริศนานี้เกิดจากอะไร

ในช่วงเวลาขณะนั้น คนที่ได้ยินเสียงนี้ต่างก็เสียสุขภาพจิตไปตามๆ กันครับ จะนอนก็ไม่หลับ อ่านหนังสือก็ไม่รู้เรื่อง เพราะทั้งสองหูได้ยินเสียงที่ว่านี้รบกวนอยู่เกือบตลอดเวลา โดนเจ้าเสียงประหลาดนี้เล่นงานเอาแทบเกือบแย่ไปตามกัน จนได้มีการตั้งทีมงานเฉพาะขึ้นมาเพื่อตรวจสอบหาสาเหตุนี้เหมือนกันครับ แต่ก็คว้าน้ำเหลว เพราะหาข้อสรุปและคำอธิบายไม่ได้ว่าต้นตอของเสียงปริศนานี้นั้นมาจากไหน แต่บ้างก็สันนิษฐานว่า เป็นคลื่นความถี่ต่ำที่ปล่อยออกมาจากโลก แต่บ้างก็ว่าเป็นเสียงจากดาวเทียมที่ส่งสัญญาณบางอย่างลงมายังโลก และข้อสันนิษฐานที่จะขาดเสียมิได้เลยสำหรับพวกคอเรื่องลึกลับ ก็คือเป็นโครงการทดลองลับของรัฐบาล (อีกแล้ว) ในการสร้างเครื่องมือสื่อสารทางการทหาร ครับ...ก็เช่นเคย ไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนสำหรับเสียงปริศนานี้ ก็เลยยังเป็นเรื่องลึกลับที่หาคำอธิบายไม่ได้มาจนทุกวันนี้แหละครับ จริงๆ แล้วเรื่องนี้ยังมีรายละเอียดอีกค่อนข้างเยอะนิดนึง แต่คิดว่าอ่านกันแค่พอกล้อมแกล้มประมาณนี้น่าจะดีกว่านะครับ จะได้ไม่น้อยไม่มากจนเกินไป

4 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

น่าทึ่งจริงๆ ครับ

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ

BlackAngel กล่าวว่า...

เพลินเลย ขอบคุณมาก

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณที่ติดตามอ่านนครับ

แสดงความคิดเห็น

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...