สวัสดีครับ กลับมาอัพเดทบทความกันอีกครั้ง หลังจากห่างหายกันไปนานทีเดียว เรื่องเล่าคราวนี้เป็นเรื่องของจานบินหรือยูเอฟโอกันบ้างครับ หลังจากบทความประเภทนี้ไม่ได้นำมาลงนานแล้ว ว่าไปแล้วบทความเรื่องนี้ก็เป็นการเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ ก็ว่าได้ครับ เพระมันเกิดขึ้นมาเมื่อ 10 กว่าปีมาแล้วครับ อาจจะพอเคยผ่านสายตากันมาบ้างแล้ว ก็อย่าว่ากันเน้อ
นับย้อนหลังไปเมื่อปี ค.ศ.1996 นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ดร.นอร์แมน เบอร์กัน (Dr,Norman Bergun) ได้เผยภาพถ่ายดาวเสาร์ที่ได้มาจากนาซ่าจำนวนหนึ่ง ที่ไม่ธรรมดาของบรรดาภาพถ่ายเหล่านี้ก็คือ มีวัตถุลึกลับที่คาดกันว่า น่าจะเป็นยานอวกาศขนาดยักษ์ถูกถ่ายติดอยู่ในภาพดังกล่าวครับ จำนวน 2-3 ลำ สำหรับรูปทรงของวัตถุลึกลับนี้มีลักษณะเป็นทรงซิการ์ เรียวยาว ส่วนขนาดนั้นเมื่อคำนวณออกมาแล้ว ปรากฏว่ามันมีขนาดยาวประมาณเส้นผ่านศูนย์ของโลกเราเลยครับ ขนาดมหึมาเลยทีเดียว
Ads by Adyim
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ UFO แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ UFO แสดงบทความทั้งหมด
วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554
วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
อีริค วอน ดานิเก้น (Erich Von Daniken)

อีริค


วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553
Secrets of The Moon : AP 20 : The story comes to an end (3)
ครับ เรามาถึงบทสรุปของเรื่องราวโครงการอพอลโล 20 จากที่ได้นำเสนอเรื่องราวแบบคัดย่อไปแล้วนั้น ท้ายที่สุดแล้วโครงการนี้ ทางนาซ่าได้ดำเนินการมาอย่างลับๆ ในปี 1979 จริงหรือ มีการค้นพบเศษซากยานอวกาศยักษ์ เมืองโบราณ รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาจากต่างดาว เก็บกู้และนำกลับมาวิจัยยังโลกของเราจริงหรือไม่ ตอนนี้เราได้คำตอบแล้วครับ….ซึ่งก็คือ…
เรื่องราวของโครงการอพอลโล 20 นั้นเป็นเรื่องหลอกลวง (Hoax) ครับ
ทุกท่านที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้อาจจะเกิดอาการเซ็งเล็กน้อยว่า ผมเอาเรื่องหลอกลวงมาให้อ่านกันทำไม อิอิ คืออยากให้อ่านกันไว้เป็นความรู้เล็กๆ น้อยๆ ครับ มีหลายคนที่เชื่อกันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง (ใจจริงผมเองก็อยากให้มันเป็นเรื่องจริงเหมือนกัน เสียดาย) ครับ เรามาว่ากันต่อ อันที่จริงแล้ว จุดเริ่มต้นของเรื่องราวลวงโลกนี้ เริ่มมาจากภาพถ่ายจากยานลูนาร์ออร์บิท (Lunar Orbit) ที่บังเอิญถ่ายรูปหลุมเครเตอร์เดลพอร์ท บริเวณอิซแส็ค (Delporte Izsak) บนดวงจันทร์ บังเอิญรูปร่างมันไปคล้ายกับซิการ์เข้า ทำให้เอามาเป็นเรื่องจานบินทรงซิการ์ซะเลย และ วิลเลี่ยม รัทเล็ดจ์ (William Rutledge) นั้น เป็นชื่อหลอกๆ รวมทั้งนักบินอวกาศรัสเซีย อเล็กซี่ เลโอนอฟ (Alexei Leonov) กับ เลโอนา ชไนเดอร์ (Leona Snyder) สองคนนี้ ก็ไม่มีตัวตนอยู่จริงครับ อพอลโล 20 เป็นเรื่องที่อุปโลกน์ขึ้นมาทั้งสิ้น โดยมาจากเจ้าของ Username ว่า “retiredafb” ที่นำคลิปวิดิโอมาลงใน Youtube บรรดานักขี้สงสัย (Skeptics) และนักวิจัย รวมไปถึงมือาชีพทางด้านรูปถ่ายและกล้องวิดีโอทั้งหลายตามสืบกันให้จ้าละหวั่นว่าหมอนี่เป็นใคร
เรื่องราวของโครงการอพอลโล 20 นั้นเป็นเรื่องหลอกลวง (Hoax) ครับ
ทุกท่านที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้อาจจะเกิดอาการเซ็งเล็กน้อยว่า ผมเอาเรื่องหลอกลวงมาให้อ่านกันทำไม อิอิ คืออยากให้อ่านกันไว้เป็นความรู้เล็กๆ น้อยๆ ครับ มีหลายคนที่เชื่อกันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง (ใจจริงผมเองก็อยากให้มันเป็นเรื่องจริงเหมือนกัน เสียดาย) ครับ เรามาว่ากันต่อ อันที่จริงแล้ว จุดเริ่มต้นของเรื่องราวลวงโลกนี้ เริ่มมาจากภาพถ่ายจากยานลูนาร์ออร์บิท (Lunar Orbit) ที่บังเอิญถ่ายรูปหลุมเครเตอร์เดลพอร์ท บริเวณอิซแส็ค (Delporte Izsak) บนดวงจันทร์ บังเอิญรูปร่างมันไปคล้ายกับซิการ์เข้า ทำให้เอามาเป็นเรื่องจานบินทรงซิการ์ซะเลย และ วิลเลี่ยม รัทเล็ดจ์ (William Rutledge) นั้น เป็นชื่อหลอกๆ รวมทั้งนักบินอวกาศรัสเซีย อเล็กซี่ เลโอนอฟ (Alexei Leonov) กับ เลโอนา ชไนเดอร์ (Leona Snyder) สองคนนี้ ก็ไม่มีตัวตนอยู่จริงครับ อพอลโล 20 เป็นเรื่องที่อุปโลกน์ขึ้นมาทั้งสิ้น โดยมาจากเจ้าของ Username ว่า “retiredafb” ที่นำคลิปวิดิโอมาลงใน Youtube บรรดานักขี้สงสัย (Skeptics) และนักวิจัย รวมไปถึงมือาชีพทางด้านรูปถ่ายและกล้องวิดีโอทั้งหลายตามสืบกันให้จ้าละหวั่นว่าหมอนี่เป็นใคร
วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553
Secrets of The Moon : AP 20 : Ancient Alien Spacecraft (2)

จากการสำรวจครั้งนั้นพบ ยานอวกาศขนาดยักษ์จอดอยู่ในหลุมเครเตอร์ ลักษณะเป็นทรงซิการ์ ส่วนขนาดนั้นเรียกได้ว่ามหึมาเลยทีเดียว มีการประมาณการกันว่าความสูงของเจ้ายานนี้วัดจากใต้ท้องเรือถึงส่วนบนนั้นมีความยาวประมาณ 500 เมตรนั้น และยาวกว่า 3,300 เมตร หรือ 3 กิโลกว่าๆ !! เลยทีเดียว โดยจากภายนอกนั้นสามารถมองเห็นสะพานเรือ หรือห้องบังคับการที่อยู่ด้านบนได้อย่างชัดเจนเลยหรือลองดูจากรูปก็ได้ครับ น่าสนใจดีทีเดียว หลังจากการประมาณอายุของมันแล้ว นับได้กว่า 1.5 ล้านปีแน่ะครับ อะไรจะเก่าแก่ขนาดนั้น
Secrets of The Moon : AP 20 : Apollo 20 Program (1)

การสำรวจอวกาศนั้นมีการปฏิบัติภารกิจกันอยู่หลายองค์กร หลายประเทศอยู่ครับ หลักๆ ที่เรารู้จักเลยก็คือ นาซ่า (NASA) หรือองค์กรบริหารการบินและอวกาศ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งเมื่อเดือนกรกฏาคม ปี ค.ศ.1958 มีพันธกิจคือโครงการวิจัยบุกเบิกด้านอวกาศ นาซ่านั้นปฏิบัติภารกิจโครงการสำรวจและวิจัยด้านอวกาศมาอย่างต่อเนื่องยาว นานครับ ทั้งส่งมนุษย์ สัตว์และยานสำรวจขึ้นไปยังอวกาศ ยานโครจรรอบดวงดาวต่างๆ และอื่นอีกมากมาย แต่ผลงานภารกิจของนาซ่าที่เป็นที่จดจำและโด่งดังไปทั่วโลก ก็เห็นจะเป็นภารกิจของนาซ่าสำหรับโครงการลงจอดบนดวงจันทร์ (Lunar landing)

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553
จานบินในภาพวาด (UFO in paintings)
.....เนื้อเรื่องคราวนี้จะเป็นเรื่องเบาๆ เกี่ยวกับภาพวาดในสมัยก่อนๆ ครับ แต่ถ้าภาพวาดอย่างเดียว มันอาจจะไม่น่าสนใจเท่าไหร่ แต่ในภาพนั้นมีของบางอย่างที่ไม่น่าจะมีอยู่ในยุคสมัยนั้นเข้ามาอยู่ด้วย ใช่แล้วครับ วัตถุแปลกปลอมในภาพวาดที่จะนำมาให้ชมกันนี้ ก็คือ จานบินหรือยูเอฟโอ นั่นเองครับ ว่าแล้วก็ไปดูกันเลย
.....เริ่มกันที่ภาพวาดจากประเทศญี่ปุ่นแล้วกันครับ ภาพนี้ค้นพบที่ ฮาราโตะโนะฮามะ ในปี ค.ศ.1803 กล่าวกันว่าจิตรกรที่เขียนภาพนี้ขึ้นมานั้น ได้เห็นวัตถุประหลาดที่ชายฝั่งฮาราโตะโนะฮามะ โดยวัตถุนี้คล้ายทำจากโลหะมันวาว และประกอบไปด้วยกระจกที่มีตัวอักษรประหลาดสลักอยู่
.....มาต่อกันที่ภาพวาดนี้ครับ ได้มีการวาดขึ้นเมื่อตอนต้นศตวรรษที่ 12 ซึ่งได้มีการวาดขึ้นจากต้นฉบับที่ค้นพบเมื่อ ค.ศ.776 ซึ่งภาพนี้เกี่ยวกับการบุกยึดปราสาทซิกิเบอร์ก (Sigiburg castle) ในประเทศฝรั่งเศส และได้มีวัตถุประหลาดบินได้ส่องแวงสว่างบินไปมาอยู่เหนือกองทัพทหาร

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553
รอสเวลล์ (Roswell UFO incident) ตอนที่ 2
.....เรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกลืมเลือนไปกว่า 30 ปี จากนั้นก็กลับมาโด่งดังแบบสุดขีดเมื่อมีการ
สัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนั้นโดยตรง ในปี ค.ศ.1978 นักยูเอฟโอวิทยา สแตนตัน ฟรีดแมน (Stanton Friedman) ได้ทำการสัมภาษณ์ผู้พัน เจสซี่ มาร์เซล (Jesse Marcel) นายทหารที่อยู่ในที่เกิดเหตุในวันนั้น โดยเจสซี่ได้เปิดเผยว่าทางกองทัพนั้นได้ปกปิดเรื่องราวเอาไว้ แท้ที่จริงแล้ว ที่ตกลงมานั้นไม่ใช่บอลลูน แต่เป็นจานบินของเอเลี่ยนที่ตกที่รอสเวลล์ แต่ทางกองทัพไม่ต้องการให้ประชาชนได้รู้เรื่อง เลยทำการปกปิดว่าเป็นบอลลูนตรวจอากาศ แล้วส่งคนมาเก็บหลักฐานไปเก็บเอาไว้ที่ฐานทัพ
โดยเจสซี่เองได้เก็บเอาซากวัตถุนั้นกลับมาที่บ้านด้วย เพื่อให้ภรรยาและลูกชายของเขาดู โดยมีอยู่ชิ้นหนึ่งที่ดูแปลก เพราะเป็นแท่งโลหะที่สลักด้วยอักษรบางชนิดที่ดูคล้ายอักษรเฮียโรกลิฟ จากนั้นก็ได้นำกลับไปคืนยังฐานทัพ
.....ต่อมาในปี ค.ศ.1980 นิตยสาร เนชั่นแนล เอ็นไควเรอร์ (The National Enquirer) ได้ทำการสัมภาษณ์ผู้พันเจสซี่ อีกครั้ง คราวนี้เป็นการเผยแพร่ไปในสื่อที่กว้างกว่าเดิม จนทำให้เรื่องราวของรอสเวลล์กลับมาเป็นที่สนใจของผู้ที่สนใจอีกครั้ง มีหลายฝ่ายได้ทำการรวบรวมหาหลักฐานการรายงานเพิ่มเติม เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในวันนั้น ได้มีหนังสือและสื่อสิ่งพิมพ์หลายฉบับได้ตีพิมพ์และเขียนนิยายเกี่ยวกับรอสเวลล์ออกมามากมาย
.....ในปี ค.ศ.1989 สัปเหร่อ เกล็น เดนนิส (Glen Dennis)
ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวของรอสเวลล์ โดยเขาเล่าผ่านประสบการณ์ในวันนั้นถึงเรื่องราวอันน่าพิศวง เริ่มมาจากในตอนบ่ายของวันที่เกิดอุบัติเหตุ เดนนิสได้รับโทรศัพท์จากทางกองทัพอากาศ โดยจะให้เขาช่วยเรื่องการขนส่งโลงที่ต้องการการปิดผนึกอย่างดี เพื่อใส่ร่างของคนที่โดนระเบิด เกล็นได้ถูกตามตัวไปยังโรงพยาบาลและได้เห็นทหารหลายคน พร้อมด้วยรถหลายคัน จอดประจำการอยู่ที่โรงพยาบาล โดยหนึ่งในนั้นได้บรรทุก เศษซากโลหะลักษณะแปลก เขาจึงเดินไปดู แต่ก็ถูกทหารที่ดูแลอยู่ไล่ออกมา และได้ขู่ว่าถ้าไม่อยากมีเรื่อง อย่าเล่าเรื่องที่เห็นออกไปอย่างเด็ดขาด วันต่อมาเดนนิสได้มาพบกับคนรักของเขาที่เป็นนางพยาบาลประจำโรงพยาบาล เธอได้เล่าว่าได้ถูกขอให้มาช่วย และได้พบเข้ากับร่างของเอเลี่ยนและได้วาดรูปบรรยายถึงสิ่งที่พบเห็นให้แก่เดนนิส จากนั้นไม่กี่วันเธอได้ถูกย้ายไปประจำการที่อื่น โดยที่เดนนิสและโรงพยาบาลที่เธอทำงานอยู่ก็ไม่รู้ว่าถูกย้ายไปอยู่ที่ไหน
.....รายงานจากบรรดาพยานที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์นั้น ก็ยังมีออกมาเปิดเผยอยู่เป็นระยะๆ กระทั่งหนังสือ รายการทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ ทั้งได้แนวคิดและหลักฐานใหม่ๆ ต่างก็ถูกนำมายกเป็นประเด็นกล่าวถึงอยู่ออกมาอีกมากมายจนกระทั่งปัจจุบัน เรื่องของรอสเวลล์นี่กลายเป็นเรื่องที่พูดถึงกันมากว่า 60 ปี ว่ามีการตกของจานบินจริงหรือไม่ รัฐบาลสหรัฐได้ปกปิดอะไรหรือเปล่า เรื่องราวเหล่านี้ก็ยากที่จะพิสูจน์ให้ชัดเจนก็เป็นเรื่องที่กระทำได้ยากครับ เพราะนอกจากหลักฐานที่เป็นชิ้นเป็นอันจะหาได้ยากแล้ว พยานบุคคลในสมัยนั้นก็แทบจะไม่มีเหลือ บันทึกเอกสารของทางกองทัพอากาศก็ถูกเผาทิ้งไปแทบหมด ทำให้ยากที่จะติดตามได้ ครับ นี่ก็เป็นเรื่องราวของจานบินตกที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เรา รายละเอียดเกี่ยวกับรอสเวลล์นี้ ยังมีอีกเยอะครับ ถ้าใครสนใจก็ลองหาอ่านเพิ่มเติมได้จากเว็บหรือหนังสือก็มีออกมาเยอะครับ เลือกได้ตามสบายกันเลยทีเดียว



.....ต่อมาในปี ค.ศ.1980 นิตยสาร เนชั่นแนล เอ็นไควเรอร์ (The National Enquirer) ได้ทำการสัมภาษณ์ผู้พันเจสซี่ อีกครั้ง คราวนี้เป็นการเผยแพร่ไปในสื่อที่กว้างกว่าเดิม จนทำให้เรื่องราวของรอสเวลล์กลับมาเป็นที่สนใจของผู้ที่สนใจอีกครั้ง มีหลายฝ่ายได้ทำการรวบรวมหาหลักฐานการรายงานเพิ่มเติม เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในวันนั้น ได้มีหนังสือและสื่อสิ่งพิมพ์หลายฉบับได้ตีพิมพ์และเขียนนิยายเกี่ยวกับรอสเวลล์ออกมามากมาย
.....ในปี ค.ศ.1989 สัปเหร่อ เกล็น เดนนิส (Glen Dennis)

.....รายงานจากบรรดาพยานที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์นั้น ก็ยังมีออกมาเปิดเผยอยู่เป็นระยะๆ กระทั่งหนังสือ รายการทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ ทั้งได้แนวคิดและหลักฐานใหม่ๆ ต่างก็ถูกนำมายกเป็นประเด็นกล่าวถึงอยู่ออกมาอีกมากมายจนกระทั่งปัจจุบัน เรื่องของรอสเวลล์นี่กลายเป็นเรื่องที่พูดถึงกันมากว่า 60 ปี ว่ามีการตกของจานบินจริงหรือไม่ รัฐบาลสหรัฐได้ปกปิดอะไรหรือเปล่า เรื่องราวเหล่านี้ก็ยากที่จะพิสูจน์ให้ชัดเจนก็เป็นเรื่องที่กระทำได้ยากครับ เพราะนอกจากหลักฐานที่เป็นชิ้นเป็นอันจะหาได้ยากแล้ว พยานบุคคลในสมัยนั้นก็แทบจะไม่มีเหลือ บันทึกเอกสารของทางกองทัพอากาศก็ถูกเผาทิ้งไปแทบหมด ทำให้ยากที่จะติดตามได้ ครับ นี่ก็เป็นเรื่องราวของจานบินตกที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เรา รายละเอียดเกี่ยวกับรอสเวลล์นี้ ยังมีอีกเยอะครับ ถ้าใครสนใจก็ลองหาอ่านเพิ่มเติมได้จากเว็บหรือหนังสือก็มีออกมาเยอะครับ เลือกได้ตามสบายกันเลยทีเดียว
วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553
รอสเวลล์ (Roswell UFO incident) ตอนที่ 1
.....นับย้อนไปเมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1947 ได้เกิดเหตุการณ์วัตถุบินได้ชนิดหนึ่ง ตกลงมายังที่นิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่โด่งดังไปทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบันนี้
ครับ เรากำลังพูดถึงอุบัติเหตุจานบินตกที่รอสเวลล์นั่นเอง สำหรับผู้ที่เคยได้ยินเรื่องราวของรอสเวลล์มาแล้ว ก็คงเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า ทำไมเรื่องนี้ถึงได้โด่งดังไปทั่วโลก เรามาดูกันครับว่าเรื่องราวของรอสเวลล์นั้น มีที่มาที่ไปอย่างไร
.....ปรากฏการณ์จานบินตกที่รอสเวลล์ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันหนึ่งในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ.1947 ครับ โดยผู้ที่เห็นเหตุการณ์เป็นคนแรก แมค แบรซเซล (Mack Brazel) เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ ในที่เกิดเหตุ โดยแบรซเซลได้ยินเสียงระเบิดดังมากมาจากทางฟาร์มของเขา จึงได้เข้ามาตรวจเช็คดู สิ่งที่เขาพบ
นั้นเป็นซากของวัตถุสีเงินเป็นแผ่นๆ กระจายอยู่ทั่วบริเวณ กินวงกว้างกว่า ร้อยเมตรโดยซากของเศษวัตุที่เขาพบนั้นเหมือนกันโลหะสีเงินแผ่นบางๆ กระจายไปทั่ว และในบริเวณรอบๆ นั้น ก็มีสิ่งที่คล้ายกับเศษซาก อุปกรณ์ของยานพาหนะบางอย่าง กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด หลังจากที่เขาได้ลองเดินสำรวจดูสักพัก สิ่งที่เขาพบตามมานั้น ทำให้เขายิ่งกว่าตื่นตะลึงเสียอีก เมื่อพบเห็นร่างของสิ่งมีชีวิตที่ดูคล้ายมนุษย์ เพียงแต่ตัวเล็กกว่า หัวโต ผิวหนังสีเทาซีด นอนเรียงรายกันอยู่ 4 ร่างด้วยกัน แบรซเซลรับรู้ได้ทันทีว่า สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งปกติ เขารีบกลับไปบ้านและบอกเล่าถึงเรื่องราวอันแปลก ประหลาดนี้แก่เพื่อนสนิทและสื่อสิ่งพิมพ์ทันที แน่นอนว่าเขาได้เก็บเอาวัตถุลึกลับติดตัวไปด้วย เพื่อยืนยันเหตุการณ์อันไม่ปกตินี้ ข่าวลือเรื่องมีจานบินมาตกในรอสเวลล์ ได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งจากทางหนังสือพิมพ์ สถานีวิทยุ ตลอดจนทางโทรทัศน์ จนทางกองทัพอากาศของสหรัฐต้องออกมาแถลงการณ์ว่า วัตถุบินได้ดังกล่าวนั้นเป็นเพียงบอลลูนตรวจอากาศ (Weather balloon) ที่ใช้สำหรับวัดสภาพปริมาณทางอากาศที่กำลังทำการทดลองสำหรับโครงการโมกุล (Mogul Project) เพียงเท่านั้น ไม่ใช่จานบินหรือยูเอฟโอแต่อย่างใด
.....ในวันต่อมาแบรซเซลได้ถูกกองทัพอากาศสหรัฐควบคุมเอาไว้ และนำไปไว้อย่างเกสเฮาส์ และถูกควบคุมตัวอยู่ 2-3 วัน จากนั้น ทางกองทัพอากาศสหัฐก็ได้นำแบรซเซลออกมาแถลงการณ์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับสื่อ แน่นอนครับว่าคราวนี้แบรซเซลได้เล่าเรื่องไปชนิดที่เรียกว่าหนังคนละม้วนทีเดียว โดยเขาบอกว่าสิ่งที่เขาพบนั้นเป็นเพียงบอลลูนตรวจอากาศเท่านั้นมีมีอะไรมากไปกว่านี้ เป็นถ้อยแถลงสั้นของแบรซเซล งานนี้เล่นเอาบรรดานักข่าวงงไปตามๆ กัน ในตอน
แรกรายละเอียดต่างๆ พรั่งพรูออกมาจากปากของเขามากมาย หลักฐานก็ได้หยิบติดไม้ติดมือมาให้หลายๆ คนได้เห็น แต่ตอนนี้กลับบอกเป็นเพียงบอลลูนตรวจอากาศธรรมดาๆ เท่านั้น มีคนให้ความเห็นว่าแบรซเซลโดนข่มขู่ไม่ให้เปิดเผยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้นออกไป เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อความมั่นคงและโครงการลับบางโครงการของทางรัฐบาลก็เป็นได้ และบรรดาหลักฐานต่างๆ ก็ถูกทางกองทัพเคลื่อนย้าย แยกเอาไปเก็บไว้แต่ละที่ ในเวลาเพียงไม่นาน และบริเวณที่เกิดการตกของวัตถุลึกลับนั้นก็ถูกล้อมห้ามเข้าอย่างเด็ดขาดโดยกองทัพอากาศ หลังจากนั้นได้ก่อเกิดโครงการตรวจสอบยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาวโดยเฉพาะ หรือที่รู้จักกันในนาม "โปรเจ็คท์บลูบุ๊ค (Project Bluebook)" อันโด่งดันนั่นเองครับ ติดตามต่อตอนที่ 2 นะครับ

.....ปรากฏการณ์จานบินตกที่รอสเวลล์ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันหนึ่งในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ.1947 ครับ โดยผู้ที่เห็นเหตุการณ์เป็นคนแรก แมค แบรซเซล (Mack Brazel) เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ ในที่เกิดเหตุ โดยแบรซเซลได้ยินเสียงระเบิดดังมากมาจากทางฟาร์มของเขา จึงได้เข้ามาตรวจเช็คดู สิ่งที่เขาพบ

.....ในวันต่อมาแบรซเซลได้ถูกกองทัพอากาศสหรัฐควบคุมเอาไว้ และนำไปไว้อย่างเกสเฮาส์ และถูกควบคุมตัวอยู่ 2-3 วัน จากนั้น ทางกองทัพอากาศสหัฐก็ได้นำแบรซเซลออกมาแถลงการณ์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับสื่อ แน่นอนครับว่าคราวนี้แบรซเซลได้เล่าเรื่องไปชนิดที่เรียกว่าหนังคนละม้วนทีเดียว โดยเขาบอกว่าสิ่งที่เขาพบนั้นเป็นเพียงบอลลูนตรวจอากาศเท่านั้นมีมีอะไรมากไปกว่านี้ เป็นถ้อยแถลงสั้นของแบรซเซล งานนี้เล่นเอาบรรดานักข่าวงงไปตามๆ กัน ในตอน

สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)