Ads by Adyim

วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

อีริค วอน ดานิเก้น (Erich Von Daniken)

สำหรับท่านที่ให้ความสนใจในเรื่องลึกลับ จานบิน มนุษย์ต่างดาว หรืออารยธรรม เทคโนโลยีโลกโบราณแล้วละก็ คงจะต้องเคยผ่านหูผ่านตา ชื่อของชายผู้หนึ่ง นามว่า อีริค วอน ดานิเก้น (Eric Von Daniken) มาบ้างแล้วอย่างแน่นอน ส่วนอีกหลายท่านที่ยังไม่เคยรู้จัก อาจจะคิดว่าแล้วหมอนี่เป็นใครกัน ? แล้วเกี่ยวอะไรกันกับเรื่องลึกลับ เอาล่ะครับ เรามาทำความรู้จักกับเขากันครับ มาดูกันว่า ดานิเก้น คนนี้นั้น เขาคือใคร และมีความเป็นมาอย่างไร
อีริค
วอน ดานิเก้น นั้นเกิดเมื่อ 14 เม.. ..1935 ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เป็นนักสำรวจ นักประพันธ์ เจ้าของผลงานหนังสือชื่อดังกระฉ่อนโลกเล่มหนึ่ง ชื่อ “Chariots of god” หรือราชรถแห่งพระเจ้า ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค..1968 และในปัจจุบันก็ยังมีการนำกลับมาตีพิมพ์ใหม่อยู่เรื่อยๆ อีก 38 ภาษาครับ กว่า 60 ล้านเล่มทั่วโลก เรียกว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่ากันเลย ทีเดียว (แต่เสียใจครับ ไม่มีฉบับแปลไทย ) หนังสือเล่มนี้ หลักๆ ก็ว่าด้วยเรื่องของทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศ (Gods from space) ครับ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมนุษย์ต่างดาวนั่นเอง ซึ่งเป็นที่ได้เดินทางมายังโลก และได้เข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องกับมนุษย์ยุคโบราณ โดยมีหลักฐานและเรื่องราวซุกซ่อนอยู่ในหลาย อารยธรรมโบราณ ไม่ว่าจะเป็นตำนานเรื่องเล่า จารึกโบราณ หรือแม้กระทั่ง หลักฐานการช่วยในด้านวิทยาการให้แก่มนุษย์ยุคโบราณเหล่านั้น โดยดานิเก้นนั้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ที่บุกเบิกเรื่องแนวนี้อย่างจริงจังเป็นคนแรกๆ ครับ ดานิเก้น นั้นสนใจในเรื่องโบราณคดีและประวัติศาสตร์อยู่ค่อนข้างมากครับ  

ในสมัยที่เขายังเป็นวัยรุ่น ดานิเก้นได้ศึกษาเกี่ยวกับอารยธรรม และจารึกโบราณและ รวมไปถึงสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาแต่ละชิ้นของแต่ละอารยธรรมโบราณนั้น ถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร มนุษย์ธรรมดาๆ อย่างเราจะสามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้มาได้เชียวหรือ ?? ด้วยว่า ช่วงเวลาและวิทยาการของผู้คนในยุคนั้นไม่น่าจะเอื้ออำนวยต่อการสร้างงานสถาปัตยกรรมขนาดยักษ์ใหญ่ขึ้นมาได้ แถมทำออกได้ดีเสียด้วยซิครับ การที่จะสร้างอะไรแบบนี้ได้จะต้องมีการทั้งการวางแผน เทคโนโลยีวิศวกรรม คณิตศาสตร์ชั้นสูงเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์คำนวณ ซึ่งในสมัยก่อนนั้น การคิดคำนวณในด้านวิศวกรรมมาที่ซับซ้อนขนาดนี้นั้นไม่น่าจะเป็นไปได้ สถาปัตยกรรมขนาดมหึมาในสมัยนั้น มนุษย์เดินดินตัวกระจ้อยร้อย ไม่น่าจะสามารถสร้างขึ้นมาได้ ตัวอย่างก็เช่น ปิระมิด สฟิงคซ์ ซิกูรัต เทวสถานโบราณ หรือลายเส้นนาซก้า เองก็ตาม ดานิเก้นนั้นเริ่มต้นด้วยแนวคิดที่ว่ามนุษย์เรานั้นน่าจะมี ผู้ช่วยเหลือที่คอยให้ความช่วยเหลืออยู่ทั้งในด้านเทคโนโลยีและภูมิปัญญา รวมถึงการเข้ามีส่วนในเรื่องวิวัฒนาการของมนุษย์ชาติด้วยก็อาจจะเป็นได้ ด้วยแนวคิดนี้เอง ได้จุดประกายความคิดของ ดานิเก้น ให้เริ่มศึกษาทางด้านโบราณคดี ศาสนา และเรื่องที่เกี่ยวข้องมากขึ้น ดานิเก้นได้แนวคิดและข้อสรุปออกมาว่า ระบบสุริยะและโลกของเรานั้นอาจจะเคยถูกเยี่ยมเยือนจากมนุษย์ต่างดาวสมัยเมื่อในอดีตกาลนานมาแล้วนั่นเอง และบางทีอาจจะมาลงหลักปักฐาน อาศัยอยู่ในโลกของเราในช่วงเวลาหนึ่งด้วยก็เป็นได้ครับ ซึ่งมีหลักฐานและเรื่องราวซุกซ่อนแฝงอยู่ในประวัติศาสตร์ ศาสนาและอารยธรรมโบราณหลงเหลืออยู่
ดานิเก้นได้ออกเดินทางสำรวจไปแทบจะทั่วโลกครับ อียิปต์ อิสราเอล เม็กซิโก เปรู เกาะอีสเตอร์ และอีกสารพัดประเทศเพื่อเก็บเกี่ยวหลักฐานทางโบราณสถานและโบราณคดี และประวัติศาสตร์ที่มีเค้าโครงว่าน่าจะ
เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว
ตัวอย่างของหลักฐานบางประการที่ดานิเก้นได้นำมานำเสนอว่าเป็นวิทยาการที่ล้ำยุคที่ไม่น่าจะมีได้ในสมัยนั้นๆ (ตรงนี้เข้ากับบทความของเรื่อง Ooparts ทีเดียวเชียวครับ) อย่างเช่น เครื่องจักรแอนติคีเธร่า (Antikythera Machine) ที่เป็นจักรกลล้ำยุคที่เจอที่กรีก (แต่ภายหลังได้ผลการวิจัยออกมาว่าเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์สมัยก่อนเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นมาเอง) วงกลมหินปริศนาหรือสโตน เฮนจ์ (Stone Henge) แผนที่พิริส ไรส (Piri-ReisMap) โมอายจากเกาะอีสเตอร์ รูปคนนั่งจรวดของชาวมายา ที่เห็นชัดเจนถึงองค์ประกอบของยานพาหนะที่ล้ำยุค มีทั้งคันบังคับ ด้ามเกียร์ แผงวงจร
ครบชุด รูปยานพาหนะปริศนาที่พบเจอในปิระมิด รูปปั้นและรูปวาดของคนที่ดูเหมือนสวมชุดอวกาศ ปฏิทินชาวอินคา โมเดลไม้เครื่องบินจำลอง (ภายหลังพบว่าเป็นภาพเหล่านี้เป็นเพียงรูปแกะสลักของนกและปลา) ลายเส้นนาซก้า เรื่องราวของ เอเซเคียล (Ezekiel) ที่พบราชรถสี่ล้อของพระเจ้า ที่มีบันทึกอยู่ในไบเบิ้ล เป็นต้น ทั้งนี้รวมไปถึงชนเผ่าที่แตกต่างกันทางด้านอารยธรรมที่อาศัยอยู่กันคนละซีกโลกกลับมีวิทยาการ ตำนานและความเชื่อหลายอย่างมีความคล้ายคลึงกัน เป็นต้นครับ ทำให้ดานิเก้นนั้นตีความว่าจะต้องมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวเหล่านี้ และก็ไม่ใช่ใครที่ไหน มนุษย์ต่างดาวนั่นเองครับ
จากหลักฐานที่ดานิเก้นได้นำมานำเสนอและตีพิมพ์ออกไปนั้น ก็มีทั้งกระแสที่เชื่อและไม่เชื่อครับ บรรดานักวิชาการ
บ้างก็ว่าหลักฐานที่ได้มานั้นยังอ่อนอยู่ ดานิเก้นนั้นตีความเข้าข้างทฤษฎีของตัวเองมากเกินไป ตัวอย่างเช่น รูปสลักของนกและปลา ก็ยังมองว่าเป็นโมเดลเครื่องบิน หรือแม้กระทั่งรูปคนนั่งจรวดของชาวมายานั้น ก็ยังกลายเป็นเพียงสิ่งที่สื่อถึงมนุษย์กับธรรมชาติเท่านั้น และลายเส้นนาซก้าที่ดานิเก้นยกมาว่าเป็นลานบินของยานอวกาศ ที่พื้นดินในบริเวณนั้นกลับอ่อนเสียจนไม่สามารถนำเครื่องบินลงจอดบริเวณที่ว่าได้ และหลักฐานบางประการนั้นอาจจะมีที่มาจากความเชื่อทางด้านศาสนามากกว่าจะเป็นเรื่องของมนุษย์ต่างดาว จากสิ่งเหล่านี้เอง ทำให้แนวคิดของดานิเก้นนั้นไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับทางด้านวงวิชาการและวิทยาศาตร์มากเท่าใดครับ เพราะด้วยเรื่องที่ว่าแนวคิดของเขานั้นออกจะหลุดโลกไปสักนิดนึง
และอีกปัจจัยหลักที่เป็นส่วนสำคัญเลยก็คือดานิเก้นไม่มี
ตำแหน่งที่น่าเชื่อถือทางวิชาการพอที่จะสนับสนุนทฤษฎีของตัวเองได้ รวมไปถึงข้อพิสูจน์บางประการของเขาเองนั้นก็ยังคลุมเครืออยู่ ทำให้บรรดานักวิชาการมักจะปฏิเสธทฤษฏีของเขา แต่ในทางกลับกันแล้ว หนังสือของดานิเก้นนั้นกลับขายดีเป็นเทน้ำเทท่า กระทั่งในปัจจุบันก็ยังมีการเอาหนังสือของเขากลับมาพิมพ์ซ้ำอยู่เรื่อยๆ จวบจนปัจจุบัน ดานิเก้นก็ยังคงทำงานที่เขารักและเชื่อมั่นมาตลอดชีวิตกว่า 50 ปีแล้ว นับได้ว่าอุทิศตัวเองให้กับทฤษฎีที่เขาสร้างขึ้นมาได้อย่างดี ก็นับเป็นอีกเรื่องราวคร่าวๆ ของ อีริค วอน ดานิเก้น ชายผู้ที่จุดประกายในเรื่องของมนุษย์ต่างดาวและโบราณคดีประวัติศาสตร์ในอีกแง่มุมหนึ่งที่น่าสนใจครับ และนำมาผสมผสานเข้ากับเรื่องราวที่เขานำเสนอได้เป็นอย่างดี ขอยกคำพูดจากภาพยนตร์เรื่อง The X-Files มาหน่อยนะครับว่า The Truth is Out There …..ความเป็นจริงนั้นอยู่ข้างนอกนั่นเอง

5 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ชอบมาก อีริค วอน ดานิเก้น หามาลงเยอะๆนะครับ

สุพจน์ ถาวิระ กล่าวว่า...

น่าสนใจครับ

ต้อม กล่าวว่า...

ไม่ใด้ลิขสิทธิ์แปลหรือไม่มีคนแปล ผมว่ามีคนไทยไม่น้อยที่อยากอ่าน แน่นอนผมคนนึงละ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

น่าสนใจค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

สนใจค่ะ

แสดงความคิดเห็น

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...