Ads by Adyim

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คำสาปของเทคัมเช่ (The Curse of Tecumseh)

คนขาวกำลังเข้ายึดดินแดนจากชนเผ่าพื้นเมือง
สวัสดีกันอีกครั้งครับ อัพเดตบทความกันอีกครั้ง หลังจากห่างหายกันไปนานมาก วันก่อนได้มีโอกาสดูสารคดีเรื่องเกี่ยวกับการก่อร่าง สร้างชาติของประเทศอเมริกาเขา เลยนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องน่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับคำสาปของอินเดียนแดง ที่ได้สาปถึงผู้นำของชาติที่มาแย่งแผ่นดินจากพวกเขาไป เรื่องเล่านี้ได้ชื่อว่า คำสาปของเทคัมเช่ (Tecumseh’s Curse) นั่นเองครับ เอาละเรามาติดตามอ่านกันได้เลยครับ
คำสาปของเทคัมเช่ หรือเป็นที่รู้จักกันในอีกหลากหลายนาม เช่น คำสาปแห่งทิพเพคานู (Curse of Tippecanoe) คำสาปยี่สิบปี (Twenty-Year Curse) คำสาปตัวเลขศูนย์ (Zero-Year Curse) และ คำสาปแห่งยี่สิบปีของประธานาธิบดี (Twenty-Year President Jinx) เป็นต้นครับ ว่ากันว่าเป็นคำสาปของผู้นำชนเผ่าพื้นเมืองอินเดียนแดงที่ได้สาปแช่งเอาไว้กับผู้รุกรานและเข้ายึดครองดินแดนของพวกเขาในยุคสมัยนั้น ซึ่งคนขาวที่เข้ามาอยู่อาศัยภายหลังได้ทำการขับไล่เจ้าของเดิมออกไปจากพื้นที่ และเข้ายึดครองมาเป็นของตนเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องราวในอดีตหนหลังของประเทศอเมริกานั่นเองครับ แล้วคำสาปของเทคัมเช่ นั้นจะให้ก่อให้เกิดผลอย่างไร คำสาปนี้จะทำให้ผู้นำของประเทศที่รุกรานพวกเขาจะต้องเสียชีวิต เมื่อเงื่อนไขทุกอย่างตรงกัน
"คำสาปแห่งเทคัมเช่" หรือ "คำสาปหมายเลขศูนย์" นี้จะสัมฤทธิ์ผลก็ต่อเมื่อเป็นปีที่เกิดการเลือกตั้งตามหลักประชาธิปไตย จนได้ผู้นำชนชาติคนใหม่ขึ้นมา หรือก็คือตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา (The President of The United States of America) นั่นเองครับ ที่สำคัญต้องเป็นปีที่ลงท้ายด้วยหมายเลข 0 และมีระยะเวลาห่างกัน 20 ปี สำหรับประธานาธิบดีสหรัฐที่เผชิญกับคำสาปนี้เป็นคนแรก (ด้วยการเสียชีวิตที่อยู่ในเงื่อนไขพอดี) ก็คือ วิลเลี่ยม เฮนรี่ แฮร์ริสัน (Willam Henry Harrison) ฮีโร่สงคราม ประธานาธิบดีคนที่ 9 ของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยวิลเลี่ยมได้ถูกเลือกตั้งเข้ามาเป็นประธานาธิบดีเมื่อปี ค..1840 และในปีต่อมาวิลเลี่ยมก็ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคปอดบวม ในขณะที่อายุเพียง 68 ปี โดยหลังรับตำแหน่งประธานาธิบดีได้เพียง 32 วันเท่านั้น และเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐที่เสียชีวิตในที่ทำงานเป็นคนแรกอีกเช่นกัน ด้วยเงื่อนไขที่ตรงกับคำสาปเหล่านี้ ก็ให้เป็นที่น่าสงสัยกันครับว่า วิลเลี่ยม แฮร์ริสัน เป็นประธานาธิบดีรายแรกที่ประเดิมคำสาปนี้ของเทคัมเช่หรือไม่

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

ทฤษฎีหกช่วงคน (Six degrees of separation)

     สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากไม่ได้อัพเดตมาเสียนาน เรื่องราวหรือบทความที่นำมาให้อ่านกันคราวนี้ เป็นเรื่องเบาๆ ครับ ก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับทฤษฎีหนึ่งโดยมีแนวคิดอันน่าทึ่งว่า คนทุกคนบนโลกนี้สามารถรู้จักกันระหว่างเพื่อนหรือคนกลางต่อไปอีกแค่ 6 คนเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เช่น นาย A อาจจะรู้จักกับดาราฮอลลีวู้ด B ได้โดยผ่านการรู้จักกับระหว่างเพื่อนอีกไม่เกิน 6 ช่วงคน ียว เรามาติดรายละเอียดกันดีกว่าครับ ว่าเจ้าทฤษฎีนี้มันมีความเป็นมายังไงวนี้ เป็นเรื่องเบาๆ ครับ อาจจะ ฟังดูแล้วน่าสนใจใช่เล่นทีเดียวครับ แต่อธิบายแบบนี้อาจจะงงได้ เอาเป็นว่าเรามาติดรายละเอียดกันดีกว่าครับ ว่าเจ้าทฤษฎีนี้มันมีความเป็นมายังไง  
   
      โลกกลมๆ สีฟ้าใบนี้ของเรา หากจะบอกว่ากว้างมั๊ย มันก็กว้างใหญ่ไพศาลอยู่นะครับ แต่หากจะบอกว่าแคบ มันก็แคบอยู่เหมือนกันนะครับ ซึ่งอันนี้ก็ขึ้นอยู่ที่มุมมองของแต่ละบุคคล ว่ามีมุมมองในเรื่องนี้อย่างไรอย่างเช่น บางทีเราไปเจอคนรู้จักในที่ที่คาดไม่ถึง อย่างเวลาไปเที่ยวต่างประเทศ เราก็มักจะคิดว่าโลกแคบจังหรือไม่ก็โลกมันช่างกลมเสียจริง อุตสาห์มาเที่ยวตั้งไกล ยังมาเจอคนรู้จักกันที่นี่เสียได้ แปลกดี ที่เกริ่นมานี่ก็ไม่ใช่อะไรครับ จะให้เข้ากับเรื่องราวที่นำมาเสนอกันตอนนี้นั่นเอง
เอาเป็นว่าเชิญติดตามอ่านกันได้เลยครับ
    
      ทฤษฎีหกช่วงคน
(Six Degrees of Separation) นั้นถูกคิดขึ้นและนำมาเขียนเป็นเรื่องสั้นที่ชื่อว่า ห่วงโซ่ (Chains) ในปี ค.ศ.1929 โดย นักประพันธ์ นักเขียน และกวีชาวฮังการี นามว่า ฟริกเยส คารินธี (Frigyes Karinthy) แต่กว่าจะมาเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางและโด่งดังไปทั่วก็อีกหลายสิบปี ต่อมา หลังจากที่ถูกนำไปสร้างเป็นบทละครเพลงของบรอดเวย์ในปี ค.ศ.1990 จากฝีมือเขียนบทของ จอห์น กรัวว์ (John Guare) นั่นเองครับ

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

นักท่องกาลเวลา (Time Traveller found in 1940s)


     สวัสดีกันอีกครั้งครับ กลับมาอัพเดตกันอีกครั้ง หลังจากหายไปค่อนข้างนาน ตอนแรกก็กะจะเอาเรื่องวัตถุลึกลับบนดวงจันทร์มาอัพเดต แต่เปลี่ยนใจนำเรื่องนี้มาลงแทนครับ เป็นเรื่องที่สนใจทีเดียว เกี่ยวกับ นักท่องกาลเวลา (Time Traveler) หรือก็คือบุคคลที่สามารถเดินทางไปในกระแสแห่งกาลเวลา ในแต่ละยุคสมัยได้ โดยอาจจะใช้อุปกรณ์เครื่องย้อนเวลา (Time Machine) หรือพลังงานอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการท่องเที่ยวธรรมดา หรือจุดประสงค์อย่างอื่นก็ตาม พวกนี้คือนักท่องกาลเวลาครับ เราลองมาติดตามกันครับว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไง

     ย้อนหลังกลับไปเมื่อปี ค.ศ.2004 ทาง พิพิธภัณฑ์แคนาดา (Canadian Museum) ได้นำรูปเก่ามีอายุหลายสิบปีออกมาจัดนิทรรศการโชว์แบบออนไลน์ (Online Exhibit) โดยใช้ชื่อนิทรรศการนี้ว่า “Their past lives here” หรือ “อดีตพวกเขายังมีชีวิตอยู่ที่นี่” ส่วนใหญ่ก็เป็นรูปเก่าๆ เล่าถึงความหลังในแต่ละสถานการณ์ แต่ละสถานที่ แต่กลับมีรูปนึงครับ ที่ดูเหมือนว่าจะมีความพิเศษกว่าใบอื่นๆ รูปใบนี้ตามข้อมูลบอกว่าถ่ายขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1940 ครับ เป็นรูปที่บันทึกเหตุการณ์การเปิดใช้งานอีกครั้งของ สะพานเซาท์ ฟอร์ค (South Fork Bridge) ที่ประเทศแคนาดา เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1940 เนื่องจากโดนน้ำท่วมเสียหายไปก่อนหน้านั้น เราลองมาดูรูปทางด้านล่างนี้ซิครับ เห็นความผิดปกติอะไรตรงไหนในภาพหรือเปล่า ?
เห็นอะไรผิดปกติบ้างหรือเปล่าครับ ??

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Comming Soon !! : Moon Anomalies




Coming Soon !!.....

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

ชีดี เมลา พิธีกรรมเลี้ยงจระเข้ (Crocodiles Festival, Pakistan)

     สวัสดีปีใหม่กันอีกครั้งครับ กลับมาอัพเดตต่อจากครั้งที่แล้ว คราวนี้จะพาไปชมพิธีกรรมแปลกๆ พิธีหนึ่งที่ประเทศปากีสถานครับ เป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ เลี้ยงอาหารจระเข้ ที่สำคัญอีกพิธีหนึ่ง สำหรับอินเดีย ปากีสถาน นั้น จระเข้ถือว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ มีจิตวิญญาณอาศัยอยู่ครับ ซึ่งจัดกันเป็นประจำทุกปีครับ ถ้าพร้อมแล้วก็ติดตามชมกันได้เลยครับ
จระเข้มักเกอร์ นอนอาบแดดอยู่ในบ่อเลี้ยงของวิหาร

วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ไดลอฟโฟซอรัส (Dilophosaurus)

     อัพเดตกันอีกซักครั้งครับ ก่อนที่จะสิ้นปี พ.ศ.2554 นี้ นับว่าเป็นปีที่เผชิญกับมหันภัยอุทกภัยกัน สำหรับหลายๆ ท่าน แต่เมื่อผ่านไปแล้วก็ขอให้มันผ่านไปครับ เริ่มต้นสู้กันใหม่ สำหรับบทความครั้งนี้ ย้อนกันมาอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับไดโนเสาร์กันบ้างครับ เจ้าตัวนี้ก็เป็นที่รู้จักกันดีเมื่อครั้งภาพยนตร์จูราสสิค พาร์คเข้าฉายครับ เจ้านี่มีชื่อว่า ไดลอฟโฟซอรัส (Pilophosaurus) ครับ

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แคดโบโรซอรัส, แคดดี้ (Cadborosaurus)

     สวัสดีกันอีกครั้งครับ อัพเดตบทความกันอีกครั้ง วันนี้พอดีไปค้นงานเก่าๆ ที่เคยเขียนเอาไว้ ก็นั่งอ่านนั่งดูไป คิดว่าเอาของเก่าๆ มาเล่าใหม่ก็น่าจะเข้าทีดี เผื่อใครยังไม่เคยผ่านตา ก็จะได้อ่านกันเพลินๆ สำหรับบทความนี้เป็นเรื่องของสัตว์ทะเลลึกลับครับ เขียนเอาไว้เมื่อปี 2546 ไม่ก็ 2547 นี่แหละครับ เคยนำไปในไว้ในเวบ Myth และก็เช่นเคยครับ การนำมาลงใหม่นี้ นำเอาต้นฉบับมาปัดฝุ่น ทิ้งน้ำ และเรียบเรียงกันใหม่บางประการเพื่อให้เข้ากับอะไรหลายๆ อย่าง แต่เนื้อใจความหลักก็ยังคงอยู่ ถ้าพร้อมแล้วก็เชิญอ่านกันเลยครับ

*********

     แคดเบอโรซอรัส (Cadborosaurus) บ้างก็เรียก แคดดี้ "Caddy" (ไม่ใช่คนแบกถุงกอล์ฟ นะ หึ หึ) นับเป็นสัตว์ลึกลับจากท้องทะเล (Sea Serpent) อีกชนิดหนึ่ง ที่มีการกล่าวขานถึงการพบเห็นกันมากอยู่ครับ โดยชื่อของ แคดดี้ นั้น ถูกต้องตามการพบเห็นครั้งแรกที่ อ่าวแคดโบโร (Cadboro Bay) เมื่อปี ค.ศ.1933 โดย เฟรดเดอริค เค็มพ์ (Frederick Kemp) หลังจากนั้นรายงานพบเห็นมันก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ จนกระทั่งถึงกับมีข่าวว่ามีการจับตัวมันได้ซะด้วยครับ

วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หนอนมรณะมองโกลเลีย (Mongolian Death Worm)

     สวัสดีครับ กลับมาอัพเดตบทความกันอีกครั้ง ช่วงนี้อัพเดตบ่อยครับ ชดเชยกับเดือนที่แล้วที่ไม่ค่อยมีการอัพเดตเลย สำหรับบทความเรื่องนี้ ยังคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ลึกลับอยู่เช่นเคยครับ คราวนี้ไปกันไกลถึงประเทศมองโกลเลียกันเลยทีเดียวครับ เป็นเจ้าของตำนานหนอนยักษ์ลึกลับที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย ถ้าพร้อมแล้วเชิญรับชมกันเลยดีกว่าครับ
ภาพวาดของเจ้าหนอนมรณะ
     เจ้าหนอนมรณะตัวนี้ จากตำนานของชนเผ่าพื้นเมืองกล่าวว่าเอาไว้ว่ามันอาศัยอยู่ใน ทะเลทรายโกบีทางตอนใต้ (Southern Gobi desert) มานานกว่าหลายร้อยปีแล้ว ตัวใหญ่กว่าหนอนปกติทั่วไป และมีนิสัยดุร้าย เจ้าหนอนมรณะนี้มีความประมาณ 1-1.4 เมตรกว่า ลำตัวใหญ่หนา มีสีแดงเข้มทั่วลำตัว ลักษณะพิเศษของเจ้าหนอนมรณะชนิดนี้ คือมันสามารถพ่นพิษเพื่อฆ่าเหยื่อหรือศัตรูของมันได้ครับ พิษที่พ่นออกมานั้นคล้ายเมือก (คล้ายกับงูเห่าพ่นพิษนั่นแหละครับ) มีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรงเมื่อสัมผัสโดน และสามารถทำอันตรายมนุษย์จนถึงแก่ชีวิตได้ หากสัมผัสโดนจุดสำคัญ แถมพิษชนิดนี้ยังดึงดูดหนอนมรณะตัวอื่นเข้ามาร่วมวงด้วยอีกต่างหาก ชาวมองโกลเรียกเจ้าหนอนมรณะนี้ว่า โอลโกย คอร์โคย (Olgoi Khorkhoi) ครับ กล่าวกันว่าเจ้าหนอนชนิดนี้อาศัยอยู่ใต้ดิน มันใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจำศีล จะออกมาหาอาหารกินในช่วงเวลาเดือน มิถุนาและกรกฎาคมในแต่ละปีเท่านั้น โดยวิธีล่าเหยื่อของมันก็คือการพ่นพิษเข้าใส่เหยื่อ และรอคอยให้เหยื่อเสียชีวิต จากนั้นจึงลงมือกินเหยื่อ และที่ร้ายยิ่งกว่านั้นคือผิวหนังที่ลำตัวของมันนั้นกล่าวกันว่าหากสัมผัสโดน อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เนื่องมาจากพิษกรดอันเข้มข้นที่เป็นเมือกปกคลุมร่างกาย จากคำบอกเล่ายังมีปรากฏอีกว่า บางครั้งเจ้าหนอนมรณะชนิดนี้ยังสามารถปล่อยกระแสไฟฟ้า (Electrical charge) เพื่อทำร้ายเหยื่อของมันให้เป็นอัมพาตอีกทาง
 

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เซลม่า : สัตว์ประหลาดจากนอร์เวย์

นักตกปลาสองคนเมื่อปี ค.ศ.1970 ได้เผชิญหน้ากับเซลม่า 
     สวัสดีครับ กลับมาพบเรื่องราวสาระน่ารู้บ้างไม่น่ารู้บ้าง คละเคล้ากันไป ตามแต่จะมีนำมาเสนอมาให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกัน อัพเดตคราวนี้ ขอนำเรื่องราวของสัตว์ลึกลับตัวหนึ่ง ของเก่ามาเล่าใหม่ครับ ผ่านการกลั่นกรองอีกเล็กน้อยตามระเบียบ เพื่อให้เรื่องกระชับขึ้น ไม่ใส่น้ำเหมือนตอนเขียนไว้ทีแรก ตามเคยครับ เรื่องนี้เคยนำไปลงไว้ในเวบ Myth เมื่อนานแสนนานมาแล้ว ประมาณปี พ.ศ.2547 น่าจะได้มั้งครับ ถ้าคุ้นๆ ตาก็อย่าเพิ่งแปลกใจครับ เรื่องเดียวคนเรียบเรียงคนเดียวกันนั่นเอง เอาล่ะ ไม่กล่าวมากกครับ พร้อมแล้วก็ไปรับชมกันเลย

**********************
     จากเรื่องที่แล้วพาขึ้นเขาเข้าป่าไป มาเรื่องนี้ลองเปลี่ยนบรรยากาศกันดูบ้างดีกว่าครับ ผมจะพาท่านเลาะเลี้ยวไปแถวๆ ทะเลสาบเซลจอร์ด (Lake Seljordsvatnet) ประเทศนอร์เวย์ กันดูบ้าง ที่ทะเลสาปแห่งนี้ก็มีเรื่องเล่าขานหรือรายงานการพบเห็นของสัตว์ประหลาดอยู่ ด้วยเหมือนกัน นามของมันนั้นหรือคือ เซลม่า (Selma) นั่นเองครับ ก็คงไม่โด่งดังเท่ากับเนสซี่จากสก็อตแลนด์หรือโอโกโปโกจากแคนาดา แต่ก็พอเป็นที่รู้จักกันอยู่บ้างครับ

วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2554

โลลอง : จระเข้ยักษ์ใหญ่ที่สุดในโลก (biggest crocodile in the world)

อดัมขณะทำการวัดขนาดของเจ้าโลลอง
กลับมาอัพเดทกันอีกครั้งครับ สำหรับบทความนี้ยังคงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับจระเข้ยักษ์ที่ฟิลิปปินส์อยู่ ครับ ตามที่ได้นำเสนอเรื่องราวของเจ้าโลลองไปแล้ว ติดตามอ่านได้สำหรับตอนแรก ที่นี่ เลยครับ และส่วนตอนที่สองก็ ที่นี่ ครับ สำหรับเรื่องราวอัพเดทคราวนี้ก็ติดตามอ่านกันได้เลยครับ
     เป็นที่ยืนยันอย่างแน่ชัดแล้วครับว่าเจ้าโลลอง จระเข้น้ำเค็มยักษ์ใหญ่จากประเทศฟิลิปปินส์ ณ ตอนนี้ได้กลายเป็นจระเข้ยักษ์ใหญ่ที่สุดในโลกไปเรียบร้อยแล้วครับ โดยการวัดความยาวอย่างเป็นทางการของเจ้าโลลองนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 พ.ย.2011 ที่ผ่านมานี่เองครับ จากเจ้าหน้าที่สวนสัตว์และประวัติศาสตร์ธรรมชาติของประเทศออสเตรเลีย ดร.อดัม บริทตัน (Dr.Adam Britton) ผู้เชี่ยวชาญด้านจระเข้ ได้เข้ามาเป็นกรรมการช่วยในการวัดครั้งนี้ คนเดียวกับที่วัดขนาดของเจ้าแคสเซียส เคลย์ นั่นแหละครับ ดร.อดัมก็มีทำรายการสารคดีเกี่ยวกับพวกจระเข้และสัตว์อื่นๆ อยู่ด้วย ถ้าสนใจลองหาดูได้จากช่องเคเบิลทีวีสารคดีดิสคัฟเวอร์รี่ แชนเนลและช่องเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิคดูครับ โดยผลจากการวัดความยาวอย่างเป็นทางการของเจ้าโลลองตั้งแต่หัวจรดปลายหางอยู่ ที่ 6.187 เมตร ไม่ถึง 6.4 เมตร อย่างที่มีการประมาณกันเอาไว้ในทีแรก แต่แค่นี้ก็เพียงพอที่จะเอาชนะเจ้าแคสเซียส เคลย์ (ตั้งชื่อตามชื่อเก่าของนักมวยรุ่นเฮฟวี่เวทชาวอเมริกาชื่อดัง โมฮัมหมัด อาลี ครับ) จระเข้น้ำเค็มยักษ์ใหญ่อีกตัวของออสเตรเลีย ที่มีขนาด 5.48 เมตร เจ้าของตำแหน่งแชมป์เก่าไปได้อย่างสบายๆ แบบนอนมาเลยทีเดียว
   
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...