Ads by Adyim
วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553
จานบินในภาพวาด (UFO in paintings)
.....เนื้อเรื่องคราวนี้จะเป็นเรื่องเบาๆ เกี่ยวกับภาพวาดในสมัยก่อนๆ ครับ แต่ถ้าภาพวาดอย่างเดียว มันอาจจะไม่น่าสนใจเท่าไหร่ แต่ในภาพนั้นมีของบางอย่างที่ไม่น่าจะมีอยู่ในยุคสมัยนั้นเข้ามาอยู่ด้วย ใช่แล้วครับ วัตถุแปลกปลอมในภาพวาดที่จะนำมาให้ชมกันนี้ ก็คือ จานบินหรือยูเอฟโอ นั่นเองครับ ว่าแล้วก็ไปดูกันเลย .....เริ่มกันที่ภาพวาดจากประเทศญี่ปุ่นแล้วกันครับ ภาพนี้ค้นพบที่ ฮาราโตะโนะฮามะ ในปี ค.ศ.1803 กล่าวกันว่าจิตรกรที่เขียนภาพนี้ขึ้นมานั้น ได้เห็นวัตถุประหลาดที่ชายฝั่งฮาราโตะโนะฮามะ โดยวัตถุนี้คล้ายทำจากโลหะมันวาว และประกอบไปด้วยกระจกที่มีตัวอักษรประหลาดสลักอยู่ .....มาต่อกันที่ภาพวาดนี้ครับ ได้มีการวาดขึ้นเมื่อตอนต้นศตวรรษที่ 12 ซึ่งได้มีการวาดขึ้นจากต้นฉบับที่ค้นพบเมื่อ ค.ศ.776 ซึ่งภาพนี้เกี่ยวกับการบุกยึดปราสาทซิกิเบอร์ก (Sigiburg castle) ในประเทศฝรั่งเศส และได้มีวัตถุประหลาดบินได้ส่องแวงสว่างบินไปมาอยู่เหนือกองทัพทหาร
วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553
รอสเวลล์ (Roswell UFO incident) ตอนที่ 2
.....เรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกลืมเลือนไปกว่า 30 ปี จากนั้นก็กลับมาโด่งดังแบบสุดขีดเมื่อมีการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนั้นโดยตรง ในปี ค.ศ.1978 นักยูเอฟโอวิทยา สแตนตัน ฟรีดแมน (Stanton Friedman) ได้ทำการสัมภาษณ์ผู้พัน เจสซี่ มาร์เซล (Jesse Marcel) นายทหารที่อยู่ในที่เกิดเหตุในวันนั้น โดยเจสซี่ได้เปิดเผยว่าทางกองทัพนั้นได้ปกปิดเรื่องราวเอาไว้ แท้ที่จริงแล้ว ที่ตกลงมานั้นไม่ใช่บอลลูน แต่เป็นจานบินของเอเลี่ยนที่ตกที่รอสเวลล์ แต่ทางกองทัพไม่ต้องการให้ประชาชนได้รู้เรื่อง เลยทำการปกปิดว่าเป็นบอลลูนตรวจอากาศ แล้วส่งคนมาเก็บหลักฐานไปเก็บเอาไว้ที่ฐานทัพ โดยเจสซี่เองได้เก็บเอาซากวัตถุนั้นกลับมาที่บ้านด้วย เพื่อให้ภรรยาและลูกชายของเขาดู โดยมีอยู่ชิ้นหนึ่งที่ดูแปลก เพราะเป็นแท่งโลหะที่สลักด้วยอักษรบางชนิดที่ดูคล้ายอักษรเฮียโรกลิฟ จากนั้นก็ได้นำกลับไปคืนยังฐานทัพ
.....ต่อมาในปี ค.ศ.1980 นิตยสาร เนชั่นแนล เอ็นไควเรอร์ (The National Enquirer) ได้ทำการสัมภาษณ์ผู้พันเจสซี่ อีกครั้ง คราวนี้เป็นการเผยแพร่ไปในสื่อที่กว้างกว่าเดิม จนทำให้เรื่องราวของรอสเวลล์กลับมาเป็นที่สนใจของผู้ที่สนใจอีกครั้ง มีหลายฝ่ายได้ทำการรวบรวมหาหลักฐานการรายงานเพิ่มเติม เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในวันนั้น ได้มีหนังสือและสื่อสิ่งพิมพ์หลายฉบับได้ตีพิมพ์และเขียนนิยายเกี่ยวกับรอสเวลล์ออกมามากมาย
.....ในปี ค.ศ.1989 สัปเหร่อ เกล็น เดนนิส (Glen Dennis) ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวของรอสเวลล์ โดยเขาเล่าผ่านประสบการณ์ในวันนั้นถึงเรื่องราวอันน่าพิศวง เริ่มมาจากในตอนบ่ายของวันที่เกิดอุบัติเหตุ เดนนิสได้รับโทรศัพท์จากทางกองทัพอากาศ โดยจะให้เขาช่วยเรื่องการขนส่งโลงที่ต้องการการปิดผนึกอย่างดี เพื่อใส่ร่างของคนที่โดนระเบิด เกล็นได้ถูกตามตัวไปยังโรงพยาบาลและได้เห็นทหารหลายคน พร้อมด้วยรถหลายคัน จอดประจำการอยู่ที่โรงพยาบาล โดยหนึ่งในนั้นได้บรรทุก เศษซากโลหะลักษณะแปลก เขาจึงเดินไปดู แต่ก็ถูกทหารที่ดูแลอยู่ไล่ออกมา และได้ขู่ว่าถ้าไม่อยากมีเรื่อง อย่าเล่าเรื่องที่เห็นออกไปอย่างเด็ดขาด วันต่อมาเดนนิสได้มาพบกับคนรักของเขาที่เป็นนางพยาบาลประจำโรงพยาบาล เธอได้เล่าว่าได้ถูกขอให้มาช่วย และได้พบเข้ากับร่างของเอเลี่ยนและได้วาดรูปบรรยายถึงสิ่งที่พบเห็นให้แก่เดนนิส จากนั้นไม่กี่วันเธอได้ถูกย้ายไปประจำการที่อื่น โดยที่เดนนิสและโรงพยาบาลที่เธอทำงานอยู่ก็ไม่รู้ว่าถูกย้ายไปอยู่ที่ไหน
.....รายงานจากบรรดาพยานที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์นั้น ก็ยังมีออกมาเปิดเผยอยู่เป็นระยะๆ กระทั่งหนังสือ รายการทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ ทั้งได้แนวคิดและหลักฐานใหม่ๆ ต่างก็ถูกนำมายกเป็นประเด็นกล่าวถึงอยู่ออกมาอีกมากมายจนกระทั่งปัจจุบัน เรื่องของรอสเวลล์นี่กลายเป็นเรื่องที่พูดถึงกันมากว่า 60 ปี ว่ามีการตกของจานบินจริงหรือไม่ รัฐบาลสหรัฐได้ปกปิดอะไรหรือเปล่า เรื่องราวเหล่านี้ก็ยากที่จะพิสูจน์ให้ชัดเจนก็เป็นเรื่องที่กระทำได้ยากครับ เพราะนอกจากหลักฐานที่เป็นชิ้นเป็นอันจะหาได้ยากแล้ว พยานบุคคลในสมัยนั้นก็แทบจะไม่มีเหลือ บันทึกเอกสารของทางกองทัพอากาศก็ถูกเผาทิ้งไปแทบหมด ทำให้ยากที่จะติดตามได้ ครับ นี่ก็เป็นเรื่องราวของจานบินตกที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เรา รายละเอียดเกี่ยวกับรอสเวลล์นี้ ยังมีอีกเยอะครับ ถ้าใครสนใจก็ลองหาอ่านเพิ่มเติมได้จากเว็บหรือหนังสือก็มีออกมาเยอะครับ เลือกได้ตามสบายกันเลยทีเดียว
.....ต่อมาในปี ค.ศ.1980 นิตยสาร เนชั่นแนล เอ็นไควเรอร์ (The National Enquirer) ได้ทำการสัมภาษณ์ผู้พันเจสซี่ อีกครั้ง คราวนี้เป็นการเผยแพร่ไปในสื่อที่กว้างกว่าเดิม จนทำให้เรื่องราวของรอสเวลล์กลับมาเป็นที่สนใจของผู้ที่สนใจอีกครั้ง มีหลายฝ่ายได้ทำการรวบรวมหาหลักฐานการรายงานเพิ่มเติม เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในวันนั้น ได้มีหนังสือและสื่อสิ่งพิมพ์หลายฉบับได้ตีพิมพ์และเขียนนิยายเกี่ยวกับรอสเวลล์ออกมามากมาย
.....ในปี ค.ศ.1989 สัปเหร่อ เกล็น เดนนิส (Glen Dennis) ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวของรอสเวลล์ โดยเขาเล่าผ่านประสบการณ์ในวันนั้นถึงเรื่องราวอันน่าพิศวง เริ่มมาจากในตอนบ่ายของวันที่เกิดอุบัติเหตุ เดนนิสได้รับโทรศัพท์จากทางกองทัพอากาศ โดยจะให้เขาช่วยเรื่องการขนส่งโลงที่ต้องการการปิดผนึกอย่างดี เพื่อใส่ร่างของคนที่โดนระเบิด เกล็นได้ถูกตามตัวไปยังโรงพยาบาลและได้เห็นทหารหลายคน พร้อมด้วยรถหลายคัน จอดประจำการอยู่ที่โรงพยาบาล โดยหนึ่งในนั้นได้บรรทุก เศษซากโลหะลักษณะแปลก เขาจึงเดินไปดู แต่ก็ถูกทหารที่ดูแลอยู่ไล่ออกมา และได้ขู่ว่าถ้าไม่อยากมีเรื่อง อย่าเล่าเรื่องที่เห็นออกไปอย่างเด็ดขาด วันต่อมาเดนนิสได้มาพบกับคนรักของเขาที่เป็นนางพยาบาลประจำโรงพยาบาล เธอได้เล่าว่าได้ถูกขอให้มาช่วย และได้พบเข้ากับร่างของเอเลี่ยนและได้วาดรูปบรรยายถึงสิ่งที่พบเห็นให้แก่เดนนิส จากนั้นไม่กี่วันเธอได้ถูกย้ายไปประจำการที่อื่น โดยที่เดนนิสและโรงพยาบาลที่เธอทำงานอยู่ก็ไม่รู้ว่าถูกย้ายไปอยู่ที่ไหน
.....รายงานจากบรรดาพยานที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์นั้น ก็ยังมีออกมาเปิดเผยอยู่เป็นระยะๆ กระทั่งหนังสือ รายการทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ ทั้งได้แนวคิดและหลักฐานใหม่ๆ ต่างก็ถูกนำมายกเป็นประเด็นกล่าวถึงอยู่ออกมาอีกมากมายจนกระทั่งปัจจุบัน เรื่องของรอสเวลล์นี่กลายเป็นเรื่องที่พูดถึงกันมากว่า 60 ปี ว่ามีการตกของจานบินจริงหรือไม่ รัฐบาลสหรัฐได้ปกปิดอะไรหรือเปล่า เรื่องราวเหล่านี้ก็ยากที่จะพิสูจน์ให้ชัดเจนก็เป็นเรื่องที่กระทำได้ยากครับ เพราะนอกจากหลักฐานที่เป็นชิ้นเป็นอันจะหาได้ยากแล้ว พยานบุคคลในสมัยนั้นก็แทบจะไม่มีเหลือ บันทึกเอกสารของทางกองทัพอากาศก็ถูกเผาทิ้งไปแทบหมด ทำให้ยากที่จะติดตามได้ ครับ นี่ก็เป็นเรื่องราวของจานบินตกที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เรา รายละเอียดเกี่ยวกับรอสเวลล์นี้ ยังมีอีกเยอะครับ ถ้าใครสนใจก็ลองหาอ่านเพิ่มเติมได้จากเว็บหรือหนังสือก็มีออกมาเยอะครับ เลือกได้ตามสบายกันเลยทีเดียว
วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553
รอสเวลล์ (Roswell UFO incident) ตอนที่ 1
.....นับย้อนไปเมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1947 ได้เกิดเหตุการณ์วัตถุบินได้ชนิดหนึ่ง ตกลงมายังที่นิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่โด่งดังไปทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบันนี้ ครับ เรากำลังพูดถึงอุบัติเหตุจานบินตกที่รอสเวลล์นั่นเอง สำหรับผู้ที่เคยได้ยินเรื่องราวของรอสเวลล์มาแล้ว ก็คงเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า ทำไมเรื่องนี้ถึงได้โด่งดังไปทั่วโลก เรามาดูกันครับว่าเรื่องราวของรอสเวลล์นั้น มีที่มาที่ไปอย่างไร
.....ปรากฏการณ์จานบินตกที่รอสเวลล์ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันหนึ่งในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ.1947 ครับ โดยผู้ที่เห็นเหตุการณ์เป็นคนแรก แมค แบรซเซล (Mack Brazel) เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ ในที่เกิดเหตุ โดยแบรซเซลได้ยินเสียงระเบิดดังมากมาจากทางฟาร์มของเขา จึงได้เข้ามาตรวจเช็คดู สิ่งที่เขาพบนั้นเป็นซากของวัตถุสีเงินเป็นแผ่นๆ กระจายอยู่ทั่วบริเวณ กินวงกว้างกว่า ร้อยเมตรโดยซากของเศษวัตุที่เขาพบนั้นเหมือนกันโลหะสีเงินแผ่นบางๆ กระจายไปทั่ว และในบริเวณรอบๆ นั้น ก็มีสิ่งที่คล้ายกับเศษซาก อุปกรณ์ของยานพาหนะบางอย่าง กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด หลังจากที่เขาได้ลองเดินสำรวจดูสักพัก สิ่งที่เขาพบตามมานั้น ทำให้เขายิ่งกว่าตื่นตะลึงเสียอีก เมื่อพบเห็นร่างของสิ่งมีชีวิตที่ดูคล้ายมนุษย์ เพียงแต่ตัวเล็กกว่า หัวโต ผิวหนังสีเทาซีด นอนเรียงรายกันอยู่ 4 ร่างด้วยกัน แบรซเซลรับรู้ได้ทันทีว่า สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งปกติ เขารีบกลับไปบ้านและบอกเล่าถึงเรื่องราวอันแปลก ประหลาดนี้แก่เพื่อนสนิทและสื่อสิ่งพิมพ์ทันที แน่นอนว่าเขาได้เก็บเอาวัตถุลึกลับติดตัวไปด้วย เพื่อยืนยันเหตุการณ์อันไม่ปกตินี้ ข่าวลือเรื่องมีจานบินมาตกในรอสเวลล์ ได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งจากทางหนังสือพิมพ์ สถานีวิทยุ ตลอดจนทางโทรทัศน์ จนทางกองทัพอากาศของสหรัฐต้องออกมาแถลงการณ์ว่า วัตถุบินได้ดังกล่าวนั้นเป็นเพียงบอลลูนตรวจอากาศ (Weather balloon) ที่ใช้สำหรับวัดสภาพปริมาณทางอากาศที่กำลังทำการทดลองสำหรับโครงการโมกุล (Mogul Project) เพียงเท่านั้น ไม่ใช่จานบินหรือยูเอฟโอแต่อย่างใด
.....ในวันต่อมาแบรซเซลได้ถูกกองทัพอากาศสหรัฐควบคุมเอาไว้ และนำไปไว้อย่างเกสเฮาส์ และถูกควบคุมตัวอยู่ 2-3 วัน จากนั้น ทางกองทัพอากาศสหัฐก็ได้นำแบรซเซลออกมาแถลงการณ์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับสื่อ แน่นอนครับว่าคราวนี้แบรซเซลได้เล่าเรื่องไปชนิดที่เรียกว่าหนังคนละม้วนทีเดียว โดยเขาบอกว่าสิ่งที่เขาพบนั้นเป็นเพียงบอลลูนตรวจอากาศเท่านั้นมีมีอะไรมากไปกว่านี้ เป็นถ้อยแถลงสั้นของแบรซเซล งานนี้เล่นเอาบรรดานักข่าวงงไปตามๆ กัน ในตอนแรกรายละเอียดต่างๆ พรั่งพรูออกมาจากปากของเขามากมาย หลักฐานก็ได้หยิบติดไม้ติดมือมาให้หลายๆ คนได้เห็น แต่ตอนนี้กลับบอกเป็นเพียงบอลลูนตรวจอากาศธรรมดาๆ เท่านั้น มีคนให้ความเห็นว่าแบรซเซลโดนข่มขู่ไม่ให้เปิดเผยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้นออกไป เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อความมั่นคงและโครงการลับบางโครงการของทางรัฐบาลก็เป็นได้ และบรรดาหลักฐานต่างๆ ก็ถูกทางกองทัพเคลื่อนย้าย แยกเอาไปเก็บไว้แต่ละที่ ในเวลาเพียงไม่นาน และบริเวณที่เกิดการตกของวัตถุลึกลับนั้นก็ถูกล้อมห้ามเข้าอย่างเด็ดขาดโดยกองทัพอากาศ หลังจากนั้นได้ก่อเกิดโครงการตรวจสอบยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาวโดยเฉพาะ หรือที่รู้จักกันในนาม "โปรเจ็คท์บลูบุ๊ค (Project Bluebook)" อันโด่งดันนั่นเองครับ ติดตามต่อตอนที่ 2 นะครับ
.....ปรากฏการณ์จานบินตกที่รอสเวลล์ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันหนึ่งในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ.1947 ครับ โดยผู้ที่เห็นเหตุการณ์เป็นคนแรก แมค แบรซเซล (Mack Brazel) เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ ในที่เกิดเหตุ โดยแบรซเซลได้ยินเสียงระเบิดดังมากมาจากทางฟาร์มของเขา จึงได้เข้ามาตรวจเช็คดู สิ่งที่เขาพบนั้นเป็นซากของวัตถุสีเงินเป็นแผ่นๆ กระจายอยู่ทั่วบริเวณ กินวงกว้างกว่า ร้อยเมตรโดยซากของเศษวัตุที่เขาพบนั้นเหมือนกันโลหะสีเงินแผ่นบางๆ กระจายไปทั่ว และในบริเวณรอบๆ นั้น ก็มีสิ่งที่คล้ายกับเศษซาก อุปกรณ์ของยานพาหนะบางอย่าง กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด หลังจากที่เขาได้ลองเดินสำรวจดูสักพัก สิ่งที่เขาพบตามมานั้น ทำให้เขายิ่งกว่าตื่นตะลึงเสียอีก เมื่อพบเห็นร่างของสิ่งมีชีวิตที่ดูคล้ายมนุษย์ เพียงแต่ตัวเล็กกว่า หัวโต ผิวหนังสีเทาซีด นอนเรียงรายกันอยู่ 4 ร่างด้วยกัน แบรซเซลรับรู้ได้ทันทีว่า สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งปกติ เขารีบกลับไปบ้านและบอกเล่าถึงเรื่องราวอันแปลก ประหลาดนี้แก่เพื่อนสนิทและสื่อสิ่งพิมพ์ทันที แน่นอนว่าเขาได้เก็บเอาวัตถุลึกลับติดตัวไปด้วย เพื่อยืนยันเหตุการณ์อันไม่ปกตินี้ ข่าวลือเรื่องมีจานบินมาตกในรอสเวลล์ ได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งจากทางหนังสือพิมพ์ สถานีวิทยุ ตลอดจนทางโทรทัศน์ จนทางกองทัพอากาศของสหรัฐต้องออกมาแถลงการณ์ว่า วัตถุบินได้ดังกล่าวนั้นเป็นเพียงบอลลูนตรวจอากาศ (Weather balloon) ที่ใช้สำหรับวัดสภาพปริมาณทางอากาศที่กำลังทำการทดลองสำหรับโครงการโมกุล (Mogul Project) เพียงเท่านั้น ไม่ใช่จานบินหรือยูเอฟโอแต่อย่างใด
.....ในวันต่อมาแบรซเซลได้ถูกกองทัพอากาศสหรัฐควบคุมเอาไว้ และนำไปไว้อย่างเกสเฮาส์ และถูกควบคุมตัวอยู่ 2-3 วัน จากนั้น ทางกองทัพอากาศสหัฐก็ได้นำแบรซเซลออกมาแถลงการณ์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับสื่อ แน่นอนครับว่าคราวนี้แบรซเซลได้เล่าเรื่องไปชนิดที่เรียกว่าหนังคนละม้วนทีเดียว โดยเขาบอกว่าสิ่งที่เขาพบนั้นเป็นเพียงบอลลูนตรวจอากาศเท่านั้นมีมีอะไรมากไปกว่านี้ เป็นถ้อยแถลงสั้นของแบรซเซล งานนี้เล่นเอาบรรดานักข่าวงงไปตามๆ กัน ในตอนแรกรายละเอียดต่างๆ พรั่งพรูออกมาจากปากของเขามากมาย หลักฐานก็ได้หยิบติดไม้ติดมือมาให้หลายๆ คนได้เห็น แต่ตอนนี้กลับบอกเป็นเพียงบอลลูนตรวจอากาศธรรมดาๆ เท่านั้น มีคนให้ความเห็นว่าแบรซเซลโดนข่มขู่ไม่ให้เปิดเผยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้นออกไป เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อความมั่นคงและโครงการลับบางโครงการของทางรัฐบาลก็เป็นได้ และบรรดาหลักฐานต่างๆ ก็ถูกทางกองทัพเคลื่อนย้าย แยกเอาไปเก็บไว้แต่ละที่ ในเวลาเพียงไม่นาน และบริเวณที่เกิดการตกของวัตถุลึกลับนั้นก็ถูกล้อมห้ามเข้าอย่างเด็ดขาดโดยกองทัพอากาศ หลังจากนั้นได้ก่อเกิดโครงการตรวจสอบยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาวโดยเฉพาะ หรือที่รู้จักกันในนาม "โปรเจ็คท์บลูบุ๊ค (Project Bluebook)"
วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553
โอโกโปโก (Ogopogo)
.....อีกหนึ่งสัตว์ประหลาดแห่งทะเลสาบที่เป็นที่รู้จักกันในบรรดาผู้หลงไหลในเรื่องลึกลับแล้ว นอกจากเนสซี่ ก็มี โอโกโปโก สัตว์ประหลาดจากทะเลสาบโอคานากัน (Okanagan Lake) ในประเทศแคนาดา นี่แหละครับ ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย สำหรับการพบเห็น โอโกโปโก ที่มีการบันทึกรายงานอย่างเป็นทางการนี่เริ่มขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมาครับ จนกระทั่งมีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้นก็ตอนต้นศตวรรษที่ 19 และได้มีการบันทึกภาพที่อาจจะเป็นเจ้าสัตว์นี้ได้เมื่อปี ค.ศ.1968 ครับ และได้มีการบันทึกเป็นวิดิโอเอาไว้ได้เมื่อปี 1989 โดย เคน แชปลิน (Ken Chaplin) ขณะที่โอโกโปโกกำลังว่ายน้ำอยู่ แต่มีคนได้ตั้งข้อสังเกตว่าวิดิโอนี้เหมือนตัวบีเวอร์กำลังว่ายน้ำเสียมากกว่า หลังจากนั้นก็ได้มีการบันทึกภาพของเจ้าโอโกโปโก ตีพิมพ์ออกมาอีกเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่ก็จะไม่ชัดเจน หรือเป็นความเข้าใจผิดขององค์ประกอบภาพก็มีอยู่เยอะครับ
......สถานที่อยู่ของโอโกโปโกนั้น ก็ไม่ใช่แคบๆ ครับ โดยขนาดของทะเลสาบโอคานากันนั้นมีความยาวประมาณ 135 กิโลเมตร กว้างประมาณ 4-5 กิโลเมตร และส่วนที่ลึกที่สุดอยู่ที่ราว 230 เมตร
ด้วยขนาดอันใหญ่แบบนี้ การที่จะมีสัตว์ประหลาดหลบซ่อนอยู่ซักตัว ก็ไม่น่าจะแปลกละมังครับ สำหรับรูปร่างลักษณะของเจ้าสัตว์ตัวนี้ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่า มีขนาดประมาณ 12-14 เมตร ผิวหนังสีดำ หัวเหมือนม้า ลำตัวยาวเหมือนงู มีหนอกและหางคล้ายกับม้า ดูจากรูปได้เลยครับ ซึ่งลักษณะแบบนี้ก็ดันคล้ายเข้ากับไดโนเสาร์พันธุ์ บาสิโลซอรัส (Basilosaurus) ชื่อของเจ้าโอโกโปโก มีความหมายว่า สัตว์ศักดิ์สิทธิ์แห่งสายน้ำ น่าเกรงขามกันเลยทีเดียวครับ.....ในปี ค.ศ.1959 ขณะที่คู่รักสองคู่กำลังขับเรืออยู่ในทะเลสาบ ได้ปรากฏร่างของสัตว์ประหลาดโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ห่างจากทั้งคู่เพียงไม่กี่เมตร โดยเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ได้จ้องมองเรืออยู่สักพักแล้วมันก็ดำน้ำลงไปอย่างเงียบๆ นับได้ว่าเป็นการพบโอโกโปโกแบบระยะใกล้ที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกเอาไว้ได้ ในปี ค.ศ.1964 ก็ได้ตีพิมพ์ภาพจาก เอริค พารามิเตอร์ (Eric Parameter) ซึ่งกล่าวว่าเป็นภาพของโอโกโปโกที่กำลังว่ายน้ำอยู่ และรายงานการพบเห็นก็ได้มีการตีพิมพ์ออกมาเรื่อยๆ นับได้หลายร้อยชิ้นจนกระทั่งปัจจุบันนี้นั่นแหละครับ
......โอโกโปโกมีอยู่จริงหรือไม่ นี่เป็นอีกปริศนาหนึ่งที่ปัจจุบันนี้เรายังไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด ว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้มีอยู่จริงหรือไม่ หรืออย่างน้อยก็ยังไม่มีผลพิสูจน์ที่ชัดเจนว่ามันไม่มีอยู่จริง นักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการที่ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้ ได้ให้คำตอบสำหรับเรื่องนี้ว่า บางทีโอโกโปโกนั้น อาจจะเป็นเพียงแค่ความผิดพลาดจากการมองเห็นสิ่งที่เคลื่อนไหวได้ในน้ำ ไม่ว่าจะเป็น ตัวบีเวอร์ ปลาสเตอร์เจี้ยน คลื่นทะเลสาบ ขอนไม้ หรือกระทั่งวัตถุบางชนิดที่ลอยมาตามน้ำ ซึ่งระยะทางจากการมองสิ่งเหล่านี้ อาจจจะทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์ประหลาดกำลังว่ายน้ำอยู่ก็เป็นได้
วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553
เนสซี่ : สัตว์ประหลาดแห่งล็อคเนส (The Lochness Monster) ตอนที่ 2
....การพบเห็นอย่างเป็นทางการครั้งแรกของเจ้าเนสซี่คงต้องย้อนกลับไปเมื่อ เดือนกรกฏาคม ปี ค.ศ.1933 เมื่อ จอร์จ สไปเซอร์ (George Spicer) และภรรยา ได้ขับรถไปตามทะเลสาบล็อคเนสในยามเช้าและได้พบเข้ากับสัตว์ขนาดใหญ่ที่ทั้งคู่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน เจ้าสัตว์ดังกล่าวกำลังเดินข้ามถนน เพื่อที่จะข้ามไปยังทะเลสาบ จอร์จได้บรรยาย ถึงลักษณะของสัตว์ประหลาดตัวนี้ว่า มันคลานสี่ขา ลำคอยาวเรียว มีความสูงประมาณ 1 เมตร ยาวประมาณ 8-9 เมตร เหมือนมังกรตัวยาวๆ หรือสัตว์ในยุคไดโนเสาร์ หลังจากการพบเห็นครั้งแรกที่มีการรายงานอย่างเป็นทางการ การพบเห็นครั้งต่อมาก็เกิดขึ้นไม่นานหลังจากนั้นโดยในเดือนสิงหาคม 1933 อาเธอร์ แกรนท์ (Arthur Grant) ได้อ้างว่าพบเจ้าสัตว์ประหลาดนี้เช่นกัน โดยพบเจอมันบนบกหลังจากเขาผ่านไปตามทะเลสาบ หลังจากนั้นไม่นาน ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ได้มีการตีพิมพ์ภาพที่อ้างว่าเป็นเจ้าอสูรกายตัวนี้เป็นครั้งแรก จากฝีมือของ ฮิวจ์ เกรย์ (Hugh Gray) หรือภาพทางซ้ายมือนั้นแหละครับ ที่เป็นภาพของบางสิ่งที่มีขนาดลำตัวยาวกำลังว่ายน้ำอยู่
.....แต่ภาพถ่ายเนสซี่ที่โด่งดังมากที่สุด และได้รู้จักกันไปทั่วโลกนั้น ก็ได้ถูกตีพิมพ์ในเวลาต่อมาไม่นานในปี ค.ศ.1934 จากโรเบิร์ต เคนเน็ธ วิลสัน (Dr.Wilson) และใช้ชื่อว่า ภาพของศัลยแพทย์ (Surgeon’s photograph) โดยเป็นภาพของสัตว์ชนิดหนึ่งที่มีลำคอยาวโผล่พ้นน้ำมา โดยภาพนี้แสดงถึงโครงสร้างของหัวและบริเวณลำตัวได้อย่างชัดเจน นับเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้ผู้คนเชื่อในเนสซี่มากยึ่งขึ้นว่ามันมีอยู่จริง และได้มีการตั้งทีมค้นหาขึ้นมากมาย เพื่อความหาตัวเนสซี่ ซึ่งภาพนี้เป็นภาพที่ถ่ายได้จาก 2 ใน 5 ภาพ โดยกล่าวกันว่าเป็น ภาพถ่ายของเนสซี่ที่ถ่ายได้ชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีการตีพิมพ์กันมาเลยทีเดียวในยุคสมัยนั้น......แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ในปี ค.ศ.1994 นั้นได้มีการพิสูจน์แล้วว่าภาพดังกล่าวเป็นของปลอมขึ้นเท่านั้น และเจ้าของภาพและเพื่อน ก็ได้ออกมายอมรับว่าได้ทำภาพดังกล่าวขึ้นมาจริง ด้วยความนึกสนุกเท่านั้น แต่ไม่นึกว่าจะลุกลามไปขนาดนี้ ก็เลยมีการสาบานกันเอาไว้ว่าจะปกปิดเป็นความลับ แล้วถ้าใครเสียชีวิตเป็นคนสุดท้ายก็ให้สารภาพเรื่องนี้ออกมา
.....ภาพนี้ทำไม่ยากครับ โดยส่วนประกอบมีเพียงเรือดำน้ำขนาดเล็กและก็หัวของสัตว์ประหลาดจำลองเท่านั้น การถ่ายทำก็ไม่ยากอะไร เพียงแค่เอาหัวสัตว์ประหลาดปลอมมาติดไว้กับเรือดำน้ำ แล้วถ่ายตอนที่มันแล่นอยู่ก็เท่านั้นเองครับ
.....แต่ก่อนที่จะมีการเปิดเผยภาพของศัลยแพทย์นี้ออกมา ก็ได้มีผู้ที่พยายามพิสูจน์ว่าภาพดังกล่าวเป็นของจริงหรือไม่ โดยวิเคราะห์จาก วงน้ำกระเพื่อมรอบตัวเนสซี่ และได้ให้ข้อสังเกตว่า วงน้ำที่กระจายออกนั้นมีขนาดเล็กเกินไป และไม่สัมพันธ์กับขนาดของเนสซี่ที่ว่าใหญ่กว่า 10 เมตรกันเลยทีเดียว ขนาดวงกระเพื่อมที่ปรากฏอยู่ในภาพนั้น อาจจะมีขนาดไม่ถึงเมตร ซึ่งบ้างก็ว่าภาพนี้เป็นภาพของช้างที่กำลังว่ายน้ำและชูงวงขึ้นเหนือน้ำ หรือไม่ก็เป็นภาพของนากที่กำลังดำน้ำและชูหางขึ้นเหนือน้ำเท่านั้นเอง ติดตามต่อตอนที่ 3 นะครับ
.....แต่ภาพถ่ายเนสซี่ที่โด่งดังมากที่สุด และได้รู้จักกันไปทั่วโลกนั้น ก็ได้ถูกตีพิมพ์ในเวลาต่อมาไม่นานในปี ค.ศ.1934 จากโรเบิร์ต เคนเน็ธ วิลสัน (Dr.Wilson) และใช้ชื่อว่า ภาพของศัลยแพทย์ (Surgeon’s photograph) โดยเป็นภาพของสัตว์ชนิดหนึ่งที่มีลำคอยาวโผล่พ้นน้ำมา โดยภาพนี้แสดงถึงโครงสร้างของหัวและบริเวณลำตัวได้อย่างชัดเจน นับเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้ผู้คนเชื่อในเนสซี่มากยึ่งขึ้นว่ามันมีอยู่จริง และได้มีการตั้งทีมค้นหาขึ้นมากมาย เพื่อความหาตัวเนสซี่ ซึ่งภาพนี้เป็นภาพที่ถ่ายได้จาก 2 ใน 5 ภาพ โดยกล่าวกันว่าเป็น ภาพถ่ายของเนสซี่ที่ถ่ายได้ชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีการตีพิมพ์กันมาเลยทีเดียวในยุคสมัยนั้น......แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ในปี ค.ศ.1994 นั้นได้มีการพิสูจน์แล้วว่าภาพดังกล่าวเป็นของปลอมขึ้นเท่านั้น และเจ้าของภาพและเพื่อน ก็ได้ออกมายอมรับว่าได้ทำภาพดังกล่าวขึ้นมาจริง ด้วยความนึกสนุกเท่านั้น แต่ไม่นึกว่าจะลุกลามไปขนาดนี้ ก็เลยมีการสาบานกันเอาไว้ว่าจะปกปิดเป็นความลับ แล้วถ้าใครเสียชีวิตเป็นคนสุดท้ายก็ให้สารภาพเรื่องนี้ออกมา
.....ภาพนี้ทำไม่ยากครับ โดยส่วนประกอบมีเพียงเรือดำน้ำขนาดเล็กและก็หัวของสัตว์ประหลาดจำลองเท่านั้น การถ่ายทำก็ไม่ยากอะไร เพียงแค่เอาหัวสัตว์ประหลาดปลอมมาติดไว้กับเรือดำน้ำ แล้วถ่ายตอนที่มันแล่นอยู่ก็เท่านั้นเองครับ
.....แต่ก่อนที่จะมีการเปิดเผยภาพของศัลยแพทย์นี้ออกมา ก็ได้มีผู้ที่พยายามพิสูจน์ว่าภาพดังกล่าวเป็นของจริงหรือไม่ โดยวิเคราะห์จาก วงน้ำกระเพื่อมรอบตัวเนสซี่ และได้ให้ข้อสังเกตว่า วงน้ำที่กระจายออกนั้นมีขนาดเล็กเกินไป และไม่สัมพันธ์กับขนาดของเนสซี่ที่ว่าใหญ่กว่า 10 เมตรกันเลยทีเดียว ขนาดวงกระเพื่อมที่ปรากฏอยู่ในภาพนั้น อาจจะมีขนาดไม่ถึงเมตร ซึ่งบ้างก็ว่าภาพนี้เป็นภาพของช้างที่กำลังว่ายน้ำและชูงวงขึ้นเหนือน้ำ หรือไม่ก็เป็นภาพของนากที่กำลังดำน้ำและชูหางขึ้นเหนือน้ำเท่านั้นเอง ติดตามต่อตอนที่ 3 นะครับ
เนสซี่ : สัตว์ประหลาดแห่งล็อคเนส (The Lochness Monster) ตอนที่ 1
......สัตว์ประหลาดแห่งทะเลสาบล็อคเนสหรือที่รู้จักกันในชื่อของ “เนสซี่” นับได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดในตำนานตัวหนึ่งที่มีคนรู้จักอยู่มากมาย ซึ่งเนสซี่นั้นมีถิ่นฐานอาศัยอยู่ในทะเลสาบล็อคเนส ประเทศสก็อตแลนด์ โดยมีรายงานการถูกพบเห็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1933 และได้ถูกขนานนามว่า “เนสซี่” ก็เมื่อปี ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา และจากสถิติรายงานการพบเห็นเนสซี่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้นับได้เป็นพันๆ ชิ้น ทั้งจากผู้คนในท้องถิ่นเอง หรือนักท่องเที่ยวที่มาเยือนทะเลสาบเองก็ตาม
.....ล็อคเนสนั้นเป็นทะเลสาบที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองของประเทศสก็อตแลนด์ มีพื้นที่ผิวน้ำประมาณ 52 ตารางกิโลเมตร ยาวประมาณ 37 กิโลเมตร และ 15.8 เมตรที่เหนือระดับน้ำทะเล ส่วนที่ลึกที่สุดประมาณ 230 เมตร น้ำเป็นสีดำสนิท ก้นทะเลสาบประกอบไปด้วย ขี้เลนและโคลนซึ่งเป็นสิ่งเหมาะกับเรื่องการบดบังทรรศนะวิสัยเป็นอย่างดี รอบฝั่งทั้งสองด้วยถูกล้อมไปด้วยปราการภูเขาตลอดแนว ซึ่งเต็มไปด้วยช่องถ้ำคูหาใหญ่น้อยมากมาย ด้วยลักษณะภูมิประเทศและพื้นที่อันกว้างใหญ่เช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกเท่าไหร่ถ้าจะมีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดคอยาวขนาดยักษ์ที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ ติดตามต่อตอนที่ 2 นะครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)