Ads by Adyim

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Secrets of The Moon : AP 20 : The story comes to an end (3)

ครับ เรามาถึงบทสรุปของเรื่องราวโครงการอพอลโล 20 จากที่ได้นำเสนอเรื่องราวแบบคัดย่อไปแล้วนั้น ท้ายที่สุดแล้วโครงการนี้ ทางนาซ่าได้ดำเนินการมาอย่างลับๆ ในปี 1979 จริงหรือ มีการค้นพบเศษซากยานอวกาศยักษ์ เมืองโบราณ รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาจากต่างดาว เก็บกู้และนำกลับมาวิจัยยังโลกของเราจริงหรือไม่ ตอนนี้เราได้คำตอบแล้วครับ….ซึ่งก็คือ

เรื่องราวของโครงการอพอลโล 20 นั้นเป็นเรื่องหลอกลวง (Hoax) ครับ

ทุกท่านที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้อาจจะเกิดอาการเซ็งเล็กน้อยว่า ผมเอาเรื่องหลอกลวงมาให้อ่านกันทำไม อิอิ คืออยากให้อ่านกันไว้เป็นความรู้เล็กๆ น้อยๆ ครับ มีหลายคนที่เชื่อกันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง (ใจจริงผมเองก็อยากให้มันเป็นเรื่องจริงเหมือนกัน เสียดาย) ครับ เรามาว่ากันต่อ อันที่จริงแล้ว จุดเริ่มต้นของเรื่องราวลวงโลกนี้ เริ่มมาจากภาพถ่ายจากยานลูนาร์ออร์บิท (Lunar Orbit) ที่บังเอิญถ่ายรูปหลุมเครเตอร์เดลพอร์ท บริเวณอิซแส็ค (Delporte Izsak) บนดวงจันทร์ บังเอิญรูปร่างมันไปคล้ายกับซิการ์เข้า ทำให้เอามาเป็นเรื่องจานบินทรงซิการ์ซะเลย และ วิลเลี่ยม รัทเล็ดจ์ (William Rutledge) นั้น เป็นชื่อหลอกๆ รวมทั้งนักบินอวกาศรัสเซีย อเล็กซี่ เลโอนอฟ (Alexei Leonov) กับ เลโอนา ชไนเดอร์ (Leona Snyder) สองคนนี้ ก็ไม่มีตัวตนอยู่จริงครับ อพอลโล 20 เป็นเรื่องที่อุปโลกน์ขึ้นมาทั้งสิ้ โดยมาจากเจ้าของ Username ว่า “retiredafb” ที่นำคลิปวิดิโอมาลงใน Youtube บรรดานักขี้สงสัย (Skeptics) และนักวิจัย รวมไปถึงมือาชีพทางด้านรูปถ่ายและกล้องวิดีโอทั้งหลายตามสืบกันให้จ้าละหวั่นว่าหมอนี่เป็นใคร อดีตนักบินอวกาศของนาซ่าจริงหรือเปล่า และคลิปนั้นเชื่อถือได้แค่ไหน หลังจากค้นกันไปค้นกันมา ก็ได้หลักฐานหลายอย่างครับ ที่พอจะเชื่อถือได้ว่า หมอนี่มันโกหกแหงๆ อย่างแรกเลยก็คือ โครงการอพอลโลสิ้นสุดแค่ 17 เท่านั้น ไม่มี 18 19 20 อะไรทั้งนั้น ต่อมาก็จับผิดรูปภาพวิดีโอกันให้เห็นหลักฐานกันจะๆ ว่าพื้นผิวของดวงจันทร์ที่ถ่ายมามันเป็นเพียงดินเหนียวนำมาปั้นเป็นฉาก (Texture) ถ่ายด้วยฟิลม์ 16 มม.ให้ได้ใกล้เคียงกับภาพถ่ายดั้งเดิมเท่านั้น ส่วนเมืองโบราณก็น่าจะถ่ายมาจากฉากโมเดลจำลองเท่านั้น รวมไปถึงมนุษย์ต่างดาวโมนาลิซ่านั้น ก็เป็นเพียงโมเดลกระดาษที่ทำมาจากวิธีเปเปอร์มาเช่อีกต่างหาก (เปเปอร์มาเช่นั้นคือการเอากระดาษมาทำเป็นรูปร่างต่างๆ โดยการทากาวและแปะกระดาษทับกันไปเรื่อยๆ ให้เป็นรูปร่างตามที่ได้ขึ้นโครงเอาไว้) นอกจากนั้นวันแรกที่มีการนำคลิปวิดีโอมาปล่อยนั้น ดันเป็นวันโกหกอีกต่างหาก (April’s fool day, 1st April) เจอแบบนี้เข้าไปก็ยากที่ยอมรับได้ครับว่า คลิปวิดีโอเหล่านั้นเป็นของจริง ท้ายที่สุดแล้วก็มีการสรุปได้ว่า เรื่องโครงการอพอลโล 20 นี้ เป็นของปลอม ที่นำมาเล่าให้ฟังนี่เป็นเพียงย่อๆ ของบทสรุปนะครับ ใครสนใจจะดูรายละเอียดอย่างเต็มอิ่มก็ลองเข้าไปหาดูครับ เขาสรุปกันไว้ทีละประเด็นแบบละเอียดทีเดียว 
แถมอีกนิดหน่อย คือโครงการอพอลโลครั้งสุดท้ายที่ได้ออกปฏิบัติภารกิจที่ดวงจันทร์อย่างเป็นทางการอันล่าสุดก็คือโครงการอพอลโล 17 ที่ได้ปฏิบัติภารกิจไปในปี ค..1972 นั่นเองครับ แน่นอนว่าโครงการอพอลโล 20 ก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริงครับ หรือถ้าจะว่าให้ถูกก็คือ โครงการอพอลโลตั้งแต่ 18 เป็นต้นมานั้น ถูกยกเลิกโดยทางนาซ่าครับ เนื่องจาก ขาดทางด้านเงินทุนและถูกตัดงบประมาณจากทางรัฐบาล ซึ่งในช่วงเวลานั้นมีการเปลี่ยนสมัยของประธานาธิบดี ซึ่งคนใหม่นั้นไม่สนับสนุนเรื่องงานวิจัยทางด้านอวกาศเท่าประธานาธิบดีคนก่อน ทำให้โครงการอพอลโลนั้นต้องพับมาจนถึงปัจจุบันนี้เองครับ
ตราสัญลักษณ์ของโครงการอพอลโลแต่ละโครงการ
มาถึงตอนนี้ก็คงทราบเรื่องราวแล้วว่ามันมีที่มายังไง อันนี้เป็นฉบับย่อๆ ของบทสรุปการวิเคราะห์สำหรับการจับผิดนะครับ ถ้าใครสนใจมากกว่านี้ลองหาอ่านจากเวบไซต์ต่างๆ ดูก็ได้ครับ รายละเอียดมีเยอะดีทีเดียว ครับ ก็เป็นว่าบทสรุปเรื่องราวของอพอลโล 20 นี้นั้น อาจจะเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมาเท่านั้น หรือเป็นเรื่องหลอกลวงซ้อนเรื่องจริงอีกชั้นหนึ่งก็ตามที แต่ใครจะรู้ละครับว่า เค้าโครงของเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้มาจากเศษเสี้ยวของความเป็นจริง ที่นำมาเปิดเผยให้กับผู้ที่ใฝ่หาความจริงได้ทราบกัน
แถมท้ายอีกหน่อยครับ ถึงเรื่องราวการปฏิบัติงานของโครงการอพอลโล 20 นั้นจะเป็นเพียงเรื่องที่กุขึ้นมา แต่ว่าเรื่องราวของ อพอลโล 11 ที่ นีล อาร์มสตรอง และ บัซ อัลดริน ที่ประสบเกี่ยวกับเหตุการณ์ประหลาดและทั้งคู่ได้เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องยานอวกาศของเอเลี่ยนบนดวงจันทร์นั้น ทั้งคู่ได้ยืนยันครับว่าเป็นเรื่องจริง มีอะไรอยู่บนดวงจันทร์จริงๆ ครับ ก็ว่ากันไป มาถึงบทส่งท้ายของบทความนี้แล้ว ก็ขอให้ทุกท่านอ่านเพื่อความบันเทิงก็แล้วกันนะครับ อย่าไปจริงจังจนเกินไป คิดว่าซะอ่านพอเพลินก็แล้วกัน ไว้ติดตามบทความเรื่องต่อไปครับ ว่าจะนำเสนอเรื่องอะไร

5 ความคิดเห็น:

inghatyai กล่าวว่า...

เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องจริงครับ ตามที่เรารู้กันอยู่ว่า สหรัฐนั้นเป็นนักปิดข่าว เป็นนักเก็บความลับ เมื่อความลับรั่วไหลออกไป ก็มานั่งคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรให้ความลับเป็นความลับต่อไป แล้ววิธีการนั้นก็ง่าย ๆ แค่ปล่อยข่าวว่าเรื่องทั่งหมดเป็นเรื่องหลอกลวง เท่านั้นคนก็วงแตก แยกย้ายกันไปทำงาน เป็นหลักจิตวิทยาง่าย ๆ เรื่อง ebe mona lisa ถ้าหาหลักฐานแวดล้อมมาปะติดปะต่อกัน ผมคิดว่าต้องได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันแน่นอน ยังมีความลับเกี่ยวกับอวกาศอีกมากที่สหรัฐกำความลับอยู่ รอวันที่จะเปิดเผยต่อไป สหรัฐก็จะต้องหาวิธีปิดความลับกันต่อไปครับ

inghatyai กล่าวว่า...

เรื่องสหรัฐปิดความลับโดยการปล่อยข่าวว่าเป็นเรื่องหลอกลวงนั้นเป็นเรื่องจริงแน่นอนและผมยังติดใจอีกนิดคือ ebe mona lisa ไม่ได้ทำจาก เปเปอร์มาเช่แน่นอน อยากให้ท่านลองดู Video ซักประมาณ 4-5 ครั้ง ดูผิวหนังของebe นั่นเป็นผิวหนังจริง สภาพเส้นผม แล้วสภาพรอบ ๆ ยานนั่นอีก ดูยังงัยก็ของจริงชัด ๆ และเครื่องโครงการอพอลโลมีกี่โครงการนั้น ไม่มีใครทราบหรอกครับ โครงการลับของสหรัฐมีเป็นร้อยเป็นพันโครงการ ล้วนแต่สร้างความกังขาให้มนุษยชาติทั้งนั้น
แค่อยากแสดงความคิดเห็นครับ

Unknown กล่าวว่า...

สวัสดีครับ ว่ากันที่จริงแล้ว หลักฐานมันก็ดูสมบูรณ์เหลือเกินครับ หลายอย่างปฏิเสธไม่ได้ว่า

น่าจะเป็นของจริง เรื่องนี้อาจจะเป็นหลอกลวงซ้อนจริงก็เป็นได้ครับ ผมเองก็ภาวนาให้เป็น

อย่างนั้นเหมือนกัน ^^ อย่าลืมติดตามอ่านกันอีกนะครับ ตอนแรกนึกว่าจะไม่มีคนเข้ามาอ่าน

ซะแล้ว

inghatyai กล่าวว่า...

ส่วนเรื่องเมืองโบราณ ผมไม่คิดว่ามีจริงครับ มันดูโจ่งแจ้งเกินไป และถ้ามีเมืองจริง ภาพถ่ายจากดาวเทียมหรือยานที่โคจรรอบดวงจันทร์น่าจะเก็บภาพได้ เพราะไม่ใช่วัตถุเล็ก ๆ ใหญ่กว่ายานหลายเท่า
เท่าที่ผมลองคาดเดาดู คนบนยานนั้นคงไม่ได้อาศัยอยู่ที่ดวงจันทร์แต่แรกเริ่ม แต่มาจากที่อื่น แล้วยานมาตกเสียก่อน เขาอาจตั้งใจมาลงบนโลกก็ได้ แต่มาไม่ถึง และตั้งใจจะรักษาตัวบนดวงจันทร์ เพราะมีอุปกรณ์อะไรบางอย่างที่เราไม่รู้จัก คนที่เสื่อมสภาพไปก่อนอาจอาการหนักรักษาไม่หาย อีกคนคิดว่าตนเองต้องตายแน่แล้ว ก็เลยทำพิธีกรรมทางอารยธรรมของตน และเขียนจดหมายถึงครอบครัวหรือใครบางคน แต่คนหลังอาจอยู่ได้นานหลังจากที่คนแรกตายไปแล้ว จดหมายนั้นหากมีแค่แผ่นเดียวคงจะน้อยเกินไปที่จะตีความ หากมีเป็นเล่มหรือจารึกที่มากกว่านี้ นักรหัสยวิทยาได้คงสนุกกันแน่ แต่คงยากมาก ๆ เพราะไม่ใช่ภาษามนุษย์ ไม่มีข้อมูล ตำนาน อะไรมาประกอบได้

Unknown กล่าวว่า...

น่าสนใจจริงๆ ครับ มีเรื่องน่ารู้อะไรก็เอามาแชร์กันได้นะครับ

แสดงความคิดเห็น

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...