วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บันยิพ : อสูรแห่งหนองน้ำ

     กลับมาอัพเดตกันอีกครับ แต่คราวนี้ขออนุญาตเอาบทความเก่าๆ ที่เคยทำไว้นานแล้วมาให้อ่านกันใหม่ ก็มีขัดเกลาตัดน้ำออกไปให้กระชับขึ้น พร้อมแล้วก็อ่านกันเลยครับ

*************

     พาไปรู้จักกับสัตว์ประหลาดกัน มาก็หลายชนิดหลายตัวแล้ว ข้อมูลมากบ้างน้อยบ้าง ก็อย่าว่ากันล่ะครับ พอดีวันนี้สบโอกาสพาไปทัวร์แถวออสเตรเลียกันดูบ้าง มาฟังเรื่องเล่าที่เป็นตำนานเกี่ยวกับเจ้าสัตว์ประหลาดที่มีชื่อเรียกกันว่า บันยิพ (Bunyip) กันดูบ้างครับ สำหรับเรื่องสัตว์ประหลาดหรือเจ้าตัวประหลาดนี้นั้นก็เป็นตำนาน เรื่องเล่าที่ยังคงกล่าวขานกันต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ของชาวเผ่าพื้นเมืองของประเทศออสเตรเลีย หรือชนเผ่าอะบอริจินส์นั่นเองครับ โดยตามเรื่องตำนานของชาวอะบอริจินส์นั้นได้เล่ากล่าวเอาไว้ว่า บันยิพ เป็นจิตวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในแม่น้ำ ลำคลอง หนองบึง ทะเลสาบ หรือหากจะบอกว่าเป็นวิญญาณผู้เฝ้าผืนน้ำก็เห็นจะเป็นได้อยู่เหมือนกัน พอนานวันสะสมตบะแก่กล้ามากขึ้น บันยิพ เลยกลายรูปร่างเป็นสัตว์ประหลาด เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาให้ผู้คนได้เห็นไปโน่นล่ะครับ 
     ตามตำนานแล้ว... บันยิพก็เหมือนสัตว์ประหลาดแทบจะทั่วทุกมุมโลกล่ะครับคือค่อนข้างจะขี้โมโหไปเสียหน่อย มีพฤติกรรมดุร้าย ถ้าหากมีผู้ใดหรือใครบุกรุกหรือล่วงล้ำถิ่นที่อยู่ของมันแล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ชนิดใดก็ตาม เบาะๆ ก็โดนทำร้ายครับ แต่ถ้าแย่หน่อยก็จะโดนมันพาลากเอาลงน้ำไปเลยทีเดียว แล้วไม่ใช่ลากลงน้ำไปนั่งดูเฉยๆ นะครับ บันยิพนี่ยังกินคนหรือเหยื่อที่มันจับลงน้ำไปอีกด้วย........ว่ากันไปนั่น แต่ลักษณะแบบนี้ก็เข้าทำนองเหมือนสัตว์ที่หวงอาณาเขต หรือไม่ก็อาจจะกำลังหาอาหารอยู่เหมือนกัน

     ไม่เพียงชาวพื้นเมืองอะบอริจินส์ที่ เล่าขานถึงตำนานบันยิพ แต่พวกคนขาวที่ไปตั้งรกรากทีหลังอยู่ที่นั่นก็มีประสบการณ์ที่เกี่ยวกับเจ้า บันยิพนี่อยู่เหมือนกันครับ เพียงแต่ว่าลักษณะของรายละเอียดจะแตกต่างกันออกไปเท่านั้นเองแต่ก็เล่าขาน กันเป็นในแนวสัตว์ประหลาดตัวใหญ่เดินสี่ขา ลำตัวปกคลุมไปด้วยขนรุงรัง ที่เฝ้าอาศัยอยู่ในหนองบึง ผืนน้ำอยู่นั่นเองครับ...
บันยิพ อสูรกายแห่งหนองน้ำ

     เอ้า ฝอยมาซะนาน ลืมเล่ารูปพรรณสัณฐานของบันยิพซะได้....มาว่ากันถึงรูปร่างของมันแล้วกัน เรื่องรูปร่างของบันยิพนี่ก็น่าปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่ใช่ย่อยครับ คือ มีขา 4 ขา และแต่ละขามี 3 เล็บ ขนาดลำตัวใหญ่สีดำเข้มออกไปทางดำ ลำตัวด้านหน้ามีเกล็ดปกคลุมไปจนถึงครึ่งของหลังและแผ่นหลังก็ปกคลุมด้วยขน ไปตลอดจนถึงหาง หน้าตาออกจะคล้ายสุนัข แต่บ้างก็ว่าเหมือนหมูครับ หุ หุ และก็มีหางคล้ายตัวบีเวอร์ ขนาดความยาวตลอดตัวเกือบสามเมตร เคลื่อนที่ด้วยการเดินสี่ขา แต่บางตำนานก็กล่าวว่าบันยิพนี่รูปร่างจะออกไปทางไดโนเสาร์หรือ สัตว์เลื้อยคลานมากกว่าครับ แต่ก็นั่นแหละครับ ลักษณะของบันยิพก็มีแตกต่างกันออกไปอีกหลายแบบครับ ตามตำนานของแต่ละพื้นที่ของเผ่าชนพื้นเมืองอีกเหมือนกัน บันยิพที่โด่งดังขนาดมีการจัดทำแสตมป์ขึ้นมาขายเป็นเรื่องราวเลยนะครับ

     รายงานการพบเห็นบันยิพนั้นไล่มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1800 แน่ะครับ หลายสถานที่ หลายแห่งในออสเตรเลีย แต่ปีที่มีการรายงานเกี่ยวกับบันยิพมากที่สุดก็เห็นจะเป็นในช่วงปี ค.ศ. 1820-1845 ครับ เรียกได้ว่ายุคทองของเรื่องบันยิพเลยทีเดียว และในช่วงปี ค.ศ.1800 นั้นเคยมีรายงานการพบซากกระดูกสัตว์ขนาดใหญ่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนครับที่ เมืองกีลอง(Geelong) รัฐวิคตอเรีย (Victoria) ของออสเตรเลีย โดยรูปร่างกระดูกจะคล้ายกับฮิปโปโปเตมัส แต่แน่นอนครับว่าพอพิสูจน์แล้วไม่ใช่ ก็เลยมีการสันนิษฐานกันไปว่ามันอาจจะเป็นซากกระดูกของบันยิพก็ได้ ว่ากันไปนั่นเลยทีเดียวเชียว และต่อมาเมื่อปี ค.ศ.1845 ก็มีการขุดค้นพบโครงกระดูกสัตว์ยักษ์ปริศนาอีก เช่นกันครับ ซึ่งลักษณะของกระดูกที่ขุดพบครั้งนี้นั้นรูปร่างคล้ายกับจระเข้ผสมกับนก อะฮ่า งงละซิครับ ผมก็งง หุ หุ เอายังงี้ครับถ้านึกไม่ออก ก็ลองนึกถึงรูปร่างของโครงกระดูกจระเข้ขณะยืน 2 ขาและตัวพองๆ แบบนกดู นั่นละครับใช่เลย (นึกออกกันมั๊ยครับ) ซึ่งหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของกีลองได้เคยลงเรื่องและรูปวาดของบันยิพเอาไว้ และเอามาตีพิมพ์ใหม่ใน ค.ศ.1991 ที่ช่วงเรื่องของบันยิพกลับมาฮือฮาอีกครั้งนึง แต่คราวนี้ทางหนังสือพิมพ์ได้ให้ความเห็นว่ามันคือไดโนเสาร์ปากเป็ด (Duck-Billed Dinosaur) แทนครับ แต่แน่นอนว่าหลังจากทำการตจวจสอบแล้วปรากฏว่าไม่ใช่ จากข้อมูลสรุปการตรวจสอบโครงกระดูกปริศนาที่น่าเชื่อถือมากที่สุด ได้ข้อสรุปว่ามันคือกระดูกของสัตว์ที่เคยมีอยู่จริงที่ประเทศออสเตรเลียในสมัยก่อนครับ มาถึงตรงนี้หลายท่านคงถามว่าแล้วมันตัวอะไรล่ะ ? อ่านต่อได้เลย เพราะอีกประเดี๋ยวจะเฉลยครับ
ดิพโพรโทดอน

โครงกระดูกดิพโพรโทดอน
      บางคนก็เชื่อว่าเรื่องเล่าของบันยิพเนี่ยเหลวไหล เป็นเพียงเรื่องเล่าในจินตนาการ เป็นเพียงเรื่องเล่ารอบกองไฟที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นของชนเผ่าที่ยังล้าหลังในเรื่องของวิวัฒนาการเท่านั้น อาจจะมองเห็นสัตว์ธรรมดาเป็นสัตว์ประหลาดไปในทัศนวิสัยที่ไม่ดีอย่างเช่นตอนกลางคืน เช้ามืด เวลาค่ำ อะไรก็ว่ากันไป สัตว์ประหลาดที่เล่าๆ กันมาน่ะ ไม่มีตัวตนจริงหรอก นิทานก็เป็นนิทาน ตำนานก็เป็นตำนาน จะเป็นเรื่องจริงไปได้ยังไง เพราะยังไม่เคยมีใครจับตัวมันได้หรือมีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจนเลย เจ้าตัวที่เล่าต่อกันมาน่ะ ไม่แน่ว่าบางทีอาจจะเป็นแค่จระเข้น้ำเค็มตัวใหญ่ที่มีอยู่ทั่วไปตามแม่น้ำ ลำคลองในออสเตรเลียเท่านั้น หรือไม่ก็อาจจะเป็นแค่ฮิปโปโปเตมัสเท่านั้นเอง อะไรประมาณนั้นละครับ......แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านกลับเชื่อว่ามัน เคยมีตัวตนอยู่จริง เพียงแต่ไม่ใช่สัตว์ประหลาดอะไรที่ไหนแต่มันน่าจะเป็นสัตว์เลี้ยง
ลูกด้วยนมในตระกูลจิงโจ้ขนาดใหญ่ที่เคยมีชีวิตอยู่ในออสเตรเลียเมื่อนานมาแล้ว มีชื่อเรียกว่า ดิพโพรโทดอน (Diprotodon) นั่นเองครับ โดยเจ้าดิพโพรโทดอนนั้นเคยอาศัยอยู่เมื่อประมาณ 20,000 กว่าปีมาแล้วน่ะครับ และก็สูญพันธ์ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถ้าหากเปรียบเทียบจากรูปทางด้านกายภาพทั่วๆ ไปแล้ว บันยิพกับดิพโพรโทดอน เนี่ยจะว่าไปมันก็คล้ายกันเอาการอยู่นะครับ 

     เจ้าดิพโพรโทดอนนี่อาจจะมีชีวิตเหลือรอดมาจน ถึงทุกยุค 80 ในตอนนั้นเลยทำให้กลายมาเป็นต้นตำนานของสัตว์ประหลาดบันยิพในตอนนี้ หรืออาจจะรอดมาจนถึงทุกวันนี้ และหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งก็อาจเป็นได้ครับ หรือไม่ก็บันยิพอาจจะไม่มีอยู่จริงเป็นเพียงเรื่องเล่าที่ตกทอดต่อกันมา หรืออาจจะมีอยู่จริงๆ แต่เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งนอกระบบความรู้ที่เรายังไม่ค้นพบก็อาจจะเป็นไปได้อยู่ อีกเหมือนกันครับ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนนั้น มันก็เป็นเสน่ห์ที่น่าค้นหาอยู่เหมือนกันครับ

     ที่เล่ามานี้ก็พอที่จะทำให้พอรู้จักกับบันยิพ หนึ่งในตำนานสัตว์ลึกลับสัญชาติออสเตรเลีย กันมากขึ้น ถูกใจไม่ถูกใจยังไงก็บอกกันได้ แต่ถ้าข้อมูลตกหล่นขาดหายไปหรือน้อยไปยังไงก็ต้องขออภัยด้วยครับ อย่างที่บอกอยู่เสมอละครับว่า ขอให้อ่านเพื่อความบันเทิงครับ จะมีจริงหรือไม่นั้น เราอย่าไปซีเรียสดีกว่า ใช่มั๊ยครับ ก็คงจะมีเท่านี้ครับสำหรับบทความเรื่องเล่าชิ้นนี้ ไว้เจอกันใหม่กับบทความเรื่องหน้าครับผม

**********
อ่านกันพอเพลินๆ นะครับ เอาเก่ามาเล่าใหม่ก็ผ่านไปอีกชิ้น เอาแก้ขัดเวลาไม่รู้จะเขียนบทความอันใหม่ยังดี แต่ยังไงเรื่องหน้า บทความจะเอาเรื่องใหม่ๆ ที่น่าสนใจมาลงบ้างครับ ติดตามอ่านนะครับ ไม่นานเกินรอ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น