วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

Ooparts Chapter 3 : Acambaro Figures

มาถึงตอนที่ 3 กับซีรียส์เรื่อง โอพาร์ทส์ (Ooparts) เรื่องเล่าคราวนี้จะพาไปพบกับเรื่องแปลกอีกเช่นเคยครับ เป็นเรื่องราวของรูปปั้นประหลาดที่ขุดค้นพบจากเมืองอะคัมบาโร ที่ประเทศเม็กซิโก โน่นแน่ะครับ ที่ว่าแปลกนี่ก็เพราะว่ามันเป็นรูปปั้นของไดโนเสาร์น่ะซิครับ จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้มีอยู่ว่าในปี ค..1945 นักโบราณคดีชาวเยอรมัน วาลเดอมาร์ จัลสรุด (Waldermar Julsrud) ได้ประกาศถึงการค้นพบรูปปั้นดินเผาที่มีลักษณะเป็นสัตว์หลายชนิด บ้างก็เป็นสัตว์ที่ไม่เคยเห็นหรือไม่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่รูปปั้นส่วนใหญ่แล้วจะดูคล้ายกับไดโนเสาร์ ซึ่งถูกฝังอยู่ในหุบเขาเอลโทโร (El Toro) โดยชาวนาท้องถิ่นเป็นคนบอกแก่เขาว่าที่หุบเขานี้ นั้นมีของโบราณฝังอยู่ วาลเดอมาร์ ได้จ้างให้พวกนี้ขุดมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมาได้ นับรวมแล้วได้กว่า 30,000 ชิ้น ในตอนนั้นมีการประมาณอายุกันว่ามันมีอายุถึง 2,000 กว่าปี อย่างที่ทราบกันดีกว่าไดโนเสาร์นั้นสูญพันธุ์ไปประมาณ 65 ล้านปีมาแล้ว และมนุษย์นั้นเพิ่งจะมารู้จักกับไดโนเสาร์ก็เมื่อ 200 กว่าปีมานี่เองครับ แล้วจะมีรูปปั้นเช่นนี้อยู่ได้อย่างไร หรือมีไดโนเสาร์รอดเหลือมาจนถึงยุคสมัยนั้น จนมีคนเห็นแล้วเอามาปั้นได้แบบนี้ ฟังดูให้จินตนาการดีจังเลยครับ

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

Funny Photo : Click 1 - The Last Picture

.....อัพเดตบทความกันอีกครั้งครับ คราวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่าหรือเรื่องลึกลับอะไรที่ไหนครับ แต่เป็นรูปตลกๆ ขำๆ บ้างไม่ขำบ้าง ดูเพื่อความบันเทิงแล้วกันนะครับ อ้อ ภาพเหล่านี้ก็ได้รวบรวมมาจากหลายเวบครับ จากอินเตอร์เน็ตเช่นเคย ภาพจริงบ้าง ภาพแต่งจาก Photoshop บ้าง ขำๆ กันไป ก็ต้องขออนุญาตต่อเจ้าของภาพที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร นำมาเผยแพร่ต่อใน Blog นี้ เป็นชุดซีรียส์ชื่อว่า Funny Photo ครับ สำหรับตอนแรกนี้ หรือ “Click 1” นั้นชื่อว่า ภาพสุดท้าย” (The Last Picture) จะมีความหมายว่ายังไงนั้น เชิญรับชมกันได้เลยครับ.....สงสัยนักปั่นคนนี้คงไปไม่ถึงเส้นชัยซะแล้ว......

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

รูปปั้นเทพเจ้าอียิปต์บนดาวอังคาร (Egyptian Statue on Mars)

.....เรื่องเล่าคราวนี้จะนำไปไกลถึงดาวอังคารครับ เกี่ยวกับความลึกลับอีกอย่างหนึ่งบนดาวแดง โดยยานสำรวจของนาซ่าได้ทำการถ่ายภาพตามภารกิจบนดาวอังคารและได้ถ่ายภาพติดวัตถุปริศนาได้ออกมาหลายภาพ โดยหนึ่งในนั้นเป็นภาพของเรื่องเล่าคราวนี้ครับ ถ่ายได้จากบริเวณหน้าผาที่ทางนาซ่าเรียกว่า เซนต์วิคตอเรีย (St.Victoria) ใกล้กับวิคตอเรียเครเตอร์ (เครเตอร์ก็คือหลุมที่เกิดจากการชนด้วยอุกกาบาตครับ) ซึ่งก็คือภาพ (ที่ดูเหมือน) รูปสลักเทพเจ้าอียิปต์โบราณติดอยู่ภายในภาพ หรือดังที่แสดงด้านล่างนี่เลยครับ ภาพนี้สามารถตามไปดูแบบรายละเอียดสูงได้จากเวบทางการของนาซ่า ที่นี่เลยครับ

.....http://photojournal.jpl.nasa.gov/jpeg/PIA10210.jpg...นี่แหละครับ หน้าผาเซนต์วิคตอเรีย เห็นอะไรมั๊ยครับ ?? ถ้ายัง ลองซูมเข้าไปอีกหน่อย

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

Ooparts Chapter 2 : Antikythera Machine

....มาตอนกันตอนที่ 2 ครับ สำหรับเรื่องราวของวัตถุเหนือกาลเวลาหรือ Ooparts นั่นเองครับ คราวนี้เรามารับชมเรื่องราวของเครื่องจักรกลแอนติคีเธร่า (Antikythera Machine) กันดู เจ้าเครื่องจักรกลที่ว่านี้นั้นถูกค้นพบเมื่อปี ค..1900 จากซากเรือขนสินค้าที่อัปปางก้นทะเล ทางเหนือของเกาะแอนติคีเธร่า (Antikythera Island) ใกล้กับเกาะครีต (Crete Island) ประเทศกรีก ซึ่งตั้งชื่อเจ้าเครื่องจักรกลนี้ตามสถานที่ค้นพบในภายหลัง ผู้ที่พบก็คือชาวกรีก อีเลียส สตาดิแอทอส (Elias Stadiatos) ครับ มีการประมาณการณ์กันว่าเจ้าเครื่องจักรกลนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 150 ปีก่อนคริสต์กาล ตอนที่มีการค้นพบก็ไม่มีใครสนใจครับ ว่าเศษซากของเจ้าเครื่องจักรพิศวงอันนี้มีคุณค่าอย่างไร เพราะว่าสมบัติที่จมอยู่กับซากเรืออัปปางจมนั้นดูมีค่ากว่า เศษซากของเฟืองเกียร์ชิ้นเล็ก ชิ้นน้อยนับสิบชิ้น กระจัดกระจายอยู่เป็นเพียงส่วนที่มีการเก็บกู้ขึ้นมาด้วยเท่านั้น จนกระทั่งมีผู้สนใจและนำมันไปศึกษาในภายหลังจาก ถึงรู้ครับว่าเจ้าเครื่องกลชิ้นนี้มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เพียงใด
ซึ่งก็พบว่า รูปแบบกลไกการทำงานมันช่างคล้ายกับวงจรของนาฬิกาในยุคปัจจุบันนี่เสียเหลือเกินครับ และได้ข้อสรุปที่ดูน่าเป็นไปได้ที่สุดสำหรับเจ้าเครื่องจักรกลนี้ ก็คือมันน่าจะถูกสร้างขึ้นเพื่อนำมาใช้งานการคำนวณทางด้านดาราศาสตร์สำหรับนักเดินเรือนั่นเองครับ และว่ากันว่ามันอาจจะเป็นเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีการค้นพบมาเลยทีเดียวครับ .....กลไกการทำงานของเจ้าเครื่องจักรกลนี้นั้นค่อนข้างที่จะซับซ้อนครับ เพราะประกอบไปด้วยฟันเฟืองหรือเกียร์ขนาดต่างๆ กว่า 70 ชิ้น โดยจะมีข้อต่ออยู่ 3 อัน คือที่ข้างหน้าและด้านข้างอีก 2 อัน เพื่อหมุนกำหนดวันที่และเวลา และตามจักรราศี โดยใช้ตามปฏิทินของกรีกโบราณ ผลที่ได้ก็คือมันสามารถที่จะบอก เวลาการเคลื่อนที่ของดวงดาว น้ำขึ้นและน้ำลงได้ครับ โดยอ้างอิงจากตำแหน่งการโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ซึ่งแม่นยำค่อนข้างมากครับ โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนเพียง 1 วันต่อ 4 ปีเท่านั้น นับเป็นความแม่นยำที่น่าสนใจดีทีเดียวครับ สำหรับความรู้ทางด้านเทคโนโลยีของคนสมัยก่อน

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

Ooparts Chapter 1 : Baghdad Battery

.....ตอนนี้มาคุยกันเรื่อง Ooparts (Out of place artifacts) ดีกว่าครับ หรือ โอพาร์ทส นั่นเอง โดย Ooparts นั้นเป็นคำที่ใช้เรียกวัตถุหรือสิ่งของที่หลงยุคหลงสมัยในทางโบราณคดีหรือไม่น่ามีขึ้นได้ในทางประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้นๆ โดยถ้าเรียงลำดับตามช่วงเวลาและความรู้ทางด้านเทคโนโลยีตามยุคสมัยแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถสร้างขึ้นมาได้ ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน Ooparts หลายๆ ชิ้นได้พิสูจน์เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าไม่ได้เก่าแก่หรือน่าพิศวงอย่างที่เคยเชื่อกัน แต่เป็นเพียงแค่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกันไปเองหรือเป็นเพียงแค่ของที่ทำขึ้นมาใหม่เท่านั้น แต่ก็มีอีกหลายชิ้นที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดครับว่า เป็นของที่ทำขึ้นมาใหม่ คำว่า Ooparts นี้ถูกตั้งขึ้นโดยนักสัตววิทยาและธรรมชาติชาวอเมริกัน ไอแวน ที แซนเดอร์สัน (Ivan T Sanderson) ครับ
.....ลองมาดูตัวอย่าง
Ooparts กันครับ ประเดิมชิ้นแรกด้วย แบตเตอรี่จากแบกแดด (Baghdad Battery) หรือแบตเตอร์รี่พาร์เธี่ยน(Parthian Battery) นั้นถูกค้นพบเมื่อปี ค..1936 ที่หมู่บ้านคธูจัตราบู ใกล้เมืองแบกแดดประเทศอิรัก จากการตรวจสอบแล้วพบว่า แบตเตอร์รี่นี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงยุคเมโสโปเตเมีย ช่วงเวลาก่อนประวัติศาสตร์