วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Secrets of The Moon : AP 20 : The story comes to an end (3)

ครับ เรามาถึงบทสรุปของเรื่องราวโครงการอพอลโล 20 จากที่ได้นำเสนอเรื่องราวแบบคัดย่อไปแล้วนั้น ท้ายที่สุดแล้วโครงการนี้ ทางนาซ่าได้ดำเนินการมาอย่างลับๆ ในปี 1979 จริงหรือ มีการค้นพบเศษซากยานอวกาศยักษ์ เมืองโบราณ รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาจากต่างดาว เก็บกู้และนำกลับมาวิจัยยังโลกของเราจริงหรือไม่ ตอนนี้เราได้คำตอบแล้วครับ….ซึ่งก็คือ

เรื่องราวของโครงการอพอลโล 20 นั้นเป็นเรื่องหลอกลวง (Hoax) ครับ

ทุกท่านที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้อาจจะเกิดอาการเซ็งเล็กน้อยว่า ผมเอาเรื่องหลอกลวงมาให้อ่านกันทำไม อิอิ คืออยากให้อ่านกันไว้เป็นความรู้เล็กๆ น้อยๆ ครับ มีหลายคนที่เชื่อกันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง (ใจจริงผมเองก็อยากให้มันเป็นเรื่องจริงเหมือนกัน เสียดาย) ครับ เรามาว่ากันต่อ อันที่จริงแล้ว จุดเริ่มต้นของเรื่องราวลวงโลกนี้ เริ่มมาจากภาพถ่ายจากยานลูนาร์ออร์บิท (Lunar Orbit) ที่บังเอิญถ่ายรูปหลุมเครเตอร์เดลพอร์ท บริเวณอิซแส็ค (Delporte Izsak) บนดวงจันทร์ บังเอิญรูปร่างมันไปคล้ายกับซิการ์เข้า ทำให้เอามาเป็นเรื่องจานบินทรงซิการ์ซะเลย และ วิลเลี่ยม รัทเล็ดจ์ (William Rutledge) นั้น เป็นชื่อหลอกๆ รวมทั้งนักบินอวกาศรัสเซีย อเล็กซี่ เลโอนอฟ (Alexei Leonov) กับ เลโอนา ชไนเดอร์ (Leona Snyder) สองคนนี้ ก็ไม่มีตัวตนอยู่จริงครับ อพอลโล 20 เป็นเรื่องที่อุปโลกน์ขึ้นมาทั้งสิ้ โดยมาจากเจ้าของ Username ว่า “retiredafb” ที่นำคลิปวิดิโอมาลงใน Youtube บรรดานักขี้สงสัย (Skeptics) และนักวิจัย รวมไปถึงมือาชีพทางด้านรูปถ่ายและกล้องวิดีโอทั้งหลายตามสืบกันให้จ้าละหวั่นว่าหมอนี่เป็นใคร

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Secrets of The Moon : AP 20 : Ancient Alien Spacecraft (2)

ย้อนไปเมื่อปี 2007 ได้มีผู้ปล่อยคลิปที่อ้างว่า เป็นการปฏิบัติภารกิจของโครงการอพอลโล 20 ไปทั่วทางอินเตอร์เน็ต Youtube ก็เป็นหนึ่งในแหล่งคลิปวิดิโอที่ว่า โดยจากชายที่ใช้ชื่อ (username) ว่า “retiredafb” หรือในนาม วิลเลี่ยม รัทเล็ดจ์ (William Rutlegde) ตามหมอนี่ได้กล่าวอ้างว่า เขาคืออดีตผู้ที่ได้ปฏิบัติในภารกิจของอพอลโล 20 เมื่อปี ..1976 โดยเป็นความร่วมมือกับนักบินอวกาศชาวรัสเซียอีก 2 คน คือ อเล็กซี่ เลโอนอฟ (Alexei Leonov) และ เลโอนา สไนเดอร์ (Leona Snyder) ที่ร่วมกันปฏิบัติการเก็บข้อมูลตัวอย่างจากยานอวกาศยักษ์ลำนั้น และภารกิจสำรวจด้านมืดของดวงจันทร์ (Far side of the Moon) หลังจากที่ William เกษียณแล้ว เขาจึงได้นำความลับที่เก็บไว้กว่า30 ปี ปรากฏสู่สาธารณชนครับ โดยคลิปที่ว่านั้นมีรายละเอียดประมาณนี้ครับ เศษซากยานอวกาศยักษ์ ซากเมืองโบราณ ร่างมนุษย์ต่างดาว รายละเอียดแผนการปฏิบัติงานของโครงการอพอลโล 20 และอันท้ายเด็ดที่สุดครับ คือมนุษย์อวกาศในคลิปที่อ้างว่าคือตัวของ William เอง
จากการสำรวจครั้งนั้นพบ ยานอวกาศขนาดยักษ์จอดอยู่ในหลุมเครเตอร์ ลักษณะเป็นทรงซิการ์ ส่วนขนาดนั้นเรียกได้ว่ามหึมาเลยทีเดียว มีการประมาณการกันว่าความสูงของเจ้ายานนี้วัดจากใต้ท้องเรือถึงส่วนบนนั้นมีความยาวประมาณ 500 เมตรนั้น และยาวกว่า 3,300 เมตร หรือ 3 กิโลกว่าๆ !! เลยทีเดียว โดยจากภายนอกนั้นสามารถมองเห็นสะพานเรือ หรือห้องบังคับการที่อยู่ด้านบนได้อย่างชัดเจนเลยหรือลองดูจากรูปก็ได้ครับ น่าสนใจดีทีเดียว หลังจากการประมาณอายุของมันแล้ว นับได้กว่า 1.5 ล้านปีแน่ะครับ อะไรจะเก่าแก่ขนาดนั้น

Secrets of The Moon : AP 20 : Apollo 20 Program (1)

มาอัพเดตเรื่องราวใหม่ๆ กับ ซีรี่ยส์ใหม่อีกครั้งกับ Secrets of The Moon หรือเรื่องเร้นลับของดวงจันทร์ คราวนี้จะพามารับชมกันถึงเรื่องการสำรวจดวงจันทร์ของโครงการอพอลโล 20 ซึ่งโครงการนี้ไม่มีอยู่ในฐานข้อมูลระบบปกติของนาซ่าครับ เหตุผลว่าทำไมถึงไม่มีรายชื่อของโครงการนี้อยู่นั้นเพราะว่าโครงการนี้ลับสุดยอดและถูกปกปิดมานานกว่า 30 ปี เรามาติดตามกันดูครับว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไง

การสำรวจอวกาศนั้นมีการปฏิบัติภารกิจกันอยู่หลายองค์กร หลายประเทศอยู่ครับ หลักๆ ที่เรารู้จักเลยก็คือ นาซ่า
(NASA) หรือองค์กรบริหารการบินและอวกาศ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งเมื่อเดือนกรกฏาคม ปี ..1958 มีพันธกิจคือโครงการวิจัยบุกเบิกด้านอวกาศ นาซ่านั้นปฏิบัติภารกิจโครงการสำรวจและวิจัยด้านอวกาศมาอย่างต่อเนื่องยาว นานครับ ทั้งส่งมนุษย์ สัตว์และยานสำรวจขึ้นไปยังอวกาศ ยานโครจรรอบดวงดาวต่างๆ และอื่นอีกมากมาย แต่ผลงานภารกิจของนาซ่าที่เป็นที่จดจำและโด่งดังไปทั่วโลก ก็เห็นจะเป็นภารกิจของนาซ่าสำหรับโครงการลงจอดบนดวงจันทร์ (Lunar landing) ของโครงการ อพอลโล 11 (Apollo 11) ครับ ที่ส่ง นีล อาร์มสตรองและเอ็ดวิน บัซ อัลดรินลงไปเดินเล่นบนดวงจันทร์ได้สำเร็จ (แต่ไมเคิล คอลลินส์ไม่ได้ลงไปเดินด้วยนะครับ) ในวันที่ 20 กรกฏาคม และกลับสู่โลกเมื่อวันที่ 24 กรกฏาคม ปี ค..1969 ครับ โดยมีประโยคอันเป็นที่จดจำมาจนถึงทุกวันนี้ครับกับ One small step for a man, one giant leap for a mankind หรือ "นี่เป็นก้าวเล็กๆ ของมนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นก้าวอันยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ" ก็เป็นประโยคที่ นีล อาร์มสตรองกล่าวเอาไว้เมื่อตอนที่เขาเหยียบลงบนดวงจันทร์

วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Funny Photo : Click 2 - Extreme Scrabbles

อัพเดตบทความกันใหม่ พบกันอีกครั้งกับซีรียส์ Funny Photo มาถึง Click 2 แล้ว คราวนี้เป็นภาพสนุกๆ เกี่ยวกับการเล่นเกมแสคร็บเบิล ในสถานที่ต่างๆ กัน เช่นเคยครับ ภาพเหล่านี้ได้มาจากอินเตอร์เน็ต ก็ต้องขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อ สำหรับตอนนี้ชื่อว่า เกมแสคร็บเบิลสุดขีด (Extreme Scrabbles) สำหรับเกมแสคร็บเบิลนี้นั้น เป็นเกมยอดฮิตของฝรั่งเขาครับ มีวิธีการเล่นก็คือ จะมีกระดานและตัวอักษรภาษาอังกฤษที่จะต้องนำมาประกอบให้เป็นคำศัพท์ ซึ่งจะได้คะแนนแตกต่างกันไปตามตัวอักษรหรือช่องคะตะแนนพิเศษ ว่าไปก็คล้ายเกมต่ออักษรหรือครอสเวิดด์นั่นแหละครับ ส่วนแคร็บเบิลครั้งนี้ จะสุดยอด สุดเหวี่ยง สุดขีดขนาดไหน เรามารับชมกันเลยครับที่ทุ่งหญ้าซาวันน่า แสคร็บเบิลก็ยังสนุกได้เสมอ

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

Ooparts Chapter 3 : Acambaro Figures

มาถึงตอนที่ 3 กับซีรียส์เรื่อง โอพาร์ทส์ (Ooparts) เรื่องเล่าคราวนี้จะพาไปพบกับเรื่องแปลกอีกเช่นเคยครับ เป็นเรื่องราวของรูปปั้นประหลาดที่ขุดค้นพบจากเมืองอะคัมบาโร ที่ประเทศเม็กซิโก โน่นแน่ะครับ ที่ว่าแปลกนี่ก็เพราะว่ามันเป็นรูปปั้นของไดโนเสาร์น่ะซิครับ จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้มีอยู่ว่าในปี ค..1945 นักโบราณคดีชาวเยอรมัน วาลเดอมาร์ จัลสรุด (Waldermar Julsrud) ได้ประกาศถึงการค้นพบรูปปั้นดินเผาที่มีลักษณะเป็นสัตว์หลายชนิด บ้างก็เป็นสัตว์ที่ไม่เคยเห็นหรือไม่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่รูปปั้นส่วนใหญ่แล้วจะดูคล้ายกับไดโนเสาร์ ซึ่งถูกฝังอยู่ในหุบเขาเอลโทโร (El Toro) โดยชาวนาท้องถิ่นเป็นคนบอกแก่เขาว่าที่หุบเขานี้ นั้นมีของโบราณฝังอยู่ วาลเดอมาร์ ได้จ้างให้พวกนี้ขุดมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมาได้ นับรวมแล้วได้กว่า 30,000 ชิ้น ในตอนนั้นมีการประมาณอายุกันว่ามันมีอายุถึง 2,000 กว่าปี อย่างที่ทราบกันดีกว่าไดโนเสาร์นั้นสูญพันธุ์ไปประมาณ 65 ล้านปีมาแล้ว และมนุษย์นั้นเพิ่งจะมารู้จักกับไดโนเสาร์ก็เมื่อ 200 กว่าปีมานี่เองครับ แล้วจะมีรูปปั้นเช่นนี้อยู่ได้อย่างไร หรือมีไดโนเสาร์รอดเหลือมาจนถึงยุคสมัยนั้น จนมีคนเห็นแล้วเอามาปั้นได้แบบนี้ ฟังดูให้จินตนาการดีจังเลยครับ

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

Funny Photo : Click 1 - The Last Picture

.....อัพเดตบทความกันอีกครั้งครับ คราวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่าหรือเรื่องลึกลับอะไรที่ไหนครับ แต่เป็นรูปตลกๆ ขำๆ บ้างไม่ขำบ้าง ดูเพื่อความบันเทิงแล้วกันนะครับ อ้อ ภาพเหล่านี้ก็ได้รวบรวมมาจากหลายเวบครับ จากอินเตอร์เน็ตเช่นเคย ภาพจริงบ้าง ภาพแต่งจาก Photoshop บ้าง ขำๆ กันไป ก็ต้องขออนุญาตต่อเจ้าของภาพที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร นำมาเผยแพร่ต่อใน Blog นี้ เป็นชุดซีรียส์ชื่อว่า Funny Photo ครับ สำหรับตอนแรกนี้ หรือ “Click 1” นั้นชื่อว่า ภาพสุดท้าย” (The Last Picture) จะมีความหมายว่ายังไงนั้น เชิญรับชมกันได้เลยครับ.....สงสัยนักปั่นคนนี้คงไปไม่ถึงเส้นชัยซะแล้ว......

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

รูปปั้นเทพเจ้าอียิปต์บนดาวอังคาร (Egyptian Statue on Mars)

.....เรื่องเล่าคราวนี้จะนำไปไกลถึงดาวอังคารครับ เกี่ยวกับความลึกลับอีกอย่างหนึ่งบนดาวแดง โดยยานสำรวจของนาซ่าได้ทำการถ่ายภาพตามภารกิจบนดาวอังคารและได้ถ่ายภาพติดวัตถุปริศนาได้ออกมาหลายภาพ โดยหนึ่งในนั้นเป็นภาพของเรื่องเล่าคราวนี้ครับ ถ่ายได้จากบริเวณหน้าผาที่ทางนาซ่าเรียกว่า เซนต์วิคตอเรีย (St.Victoria) ใกล้กับวิคตอเรียเครเตอร์ (เครเตอร์ก็คือหลุมที่เกิดจากการชนด้วยอุกกาบาตครับ) ซึ่งก็คือภาพ (ที่ดูเหมือน) รูปสลักเทพเจ้าอียิปต์โบราณติดอยู่ภายในภาพ หรือดังที่แสดงด้านล่างนี่เลยครับ ภาพนี้สามารถตามไปดูแบบรายละเอียดสูงได้จากเวบทางการของนาซ่า ที่นี่เลยครับ

.....http://photojournal.jpl.nasa.gov/jpeg/PIA10210.jpg...นี่แหละครับ หน้าผาเซนต์วิคตอเรีย เห็นอะไรมั๊ยครับ ?? ถ้ายัง ลองซูมเข้าไปอีกหน่อย

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

Ooparts Chapter 2 : Antikythera Machine

....มาตอนกันตอนที่ 2 ครับ สำหรับเรื่องราวของวัตถุเหนือกาลเวลาหรือ Ooparts นั่นเองครับ คราวนี้เรามารับชมเรื่องราวของเครื่องจักรกลแอนติคีเธร่า (Antikythera Machine) กันดู เจ้าเครื่องจักรกลที่ว่านี้นั้นถูกค้นพบเมื่อปี ค..1900 จากซากเรือขนสินค้าที่อัปปางก้นทะเล ทางเหนือของเกาะแอนติคีเธร่า (Antikythera Island) ใกล้กับเกาะครีต (Crete Island) ประเทศกรีก ซึ่งตั้งชื่อเจ้าเครื่องจักรกลนี้ตามสถานที่ค้นพบในภายหลัง ผู้ที่พบก็คือชาวกรีก อีเลียส สตาดิแอทอส (Elias Stadiatos) ครับ มีการประมาณการณ์กันว่าเจ้าเครื่องจักรกลนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 150 ปีก่อนคริสต์กาล ตอนที่มีการค้นพบก็ไม่มีใครสนใจครับ ว่าเศษซากของเจ้าเครื่องจักรพิศวงอันนี้มีคุณค่าอย่างไร เพราะว่าสมบัติที่จมอยู่กับซากเรืออัปปางจมนั้นดูมีค่ากว่า เศษซากของเฟืองเกียร์ชิ้นเล็ก ชิ้นน้อยนับสิบชิ้น กระจัดกระจายอยู่เป็นเพียงส่วนที่มีการเก็บกู้ขึ้นมาด้วยเท่านั้น จนกระทั่งมีผู้สนใจและนำมันไปศึกษาในภายหลังจาก ถึงรู้ครับว่าเจ้าเครื่องกลชิ้นนี้มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เพียงใด
ซึ่งก็พบว่า รูปแบบกลไกการทำงานมันช่างคล้ายกับวงจรของนาฬิกาในยุคปัจจุบันนี่เสียเหลือเกินครับ และได้ข้อสรุปที่ดูน่าเป็นไปได้ที่สุดสำหรับเจ้าเครื่องจักรกลนี้ ก็คือมันน่าจะถูกสร้างขึ้นเพื่อนำมาใช้งานการคำนวณทางด้านดาราศาสตร์สำหรับนักเดินเรือนั่นเองครับ และว่ากันว่ามันอาจจะเป็นเครื่องจักรกลคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีการค้นพบมาเลยทีเดียวครับ .....กลไกการทำงานของเจ้าเครื่องจักรกลนี้นั้นค่อนข้างที่จะซับซ้อนครับ เพราะประกอบไปด้วยฟันเฟืองหรือเกียร์ขนาดต่างๆ กว่า 70 ชิ้น โดยจะมีข้อต่ออยู่ 3 อัน คือที่ข้างหน้าและด้านข้างอีก 2 อัน เพื่อหมุนกำหนดวันที่และเวลา และตามจักรราศี โดยใช้ตามปฏิทินของกรีกโบราณ ผลที่ได้ก็คือมันสามารถที่จะบอก เวลาการเคลื่อนที่ของดวงดาว น้ำขึ้นและน้ำลงได้ครับ โดยอ้างอิงจากตำแหน่งการโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ซึ่งแม่นยำค่อนข้างมากครับ โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนเพียง 1 วันต่อ 4 ปีเท่านั้น นับเป็นความแม่นยำที่น่าสนใจดีทีเดียวครับ สำหรับความรู้ทางด้านเทคโนโลยีของคนสมัยก่อน

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

Ooparts Chapter 1 : Baghdad Battery

.....ตอนนี้มาคุยกันเรื่อง Ooparts (Out of place artifacts) ดีกว่าครับ หรือ โอพาร์ทส นั่นเอง โดย Ooparts นั้นเป็นคำที่ใช้เรียกวัตถุหรือสิ่งของที่หลงยุคหลงสมัยในทางโบราณคดีหรือไม่น่ามีขึ้นได้ในทางประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้นๆ โดยถ้าเรียงลำดับตามช่วงเวลาและความรู้ทางด้านเทคโนโลยีตามยุคสมัยแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถสร้างขึ้นมาได้ ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน Ooparts หลายๆ ชิ้นได้พิสูจน์เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าไม่ได้เก่าแก่หรือน่าพิศวงอย่างที่เคยเชื่อกัน แต่เป็นเพียงแค่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกันไปเองหรือเป็นเพียงแค่ของที่ทำขึ้นมาใหม่เท่านั้น แต่ก็มีอีกหลายชิ้นที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดครับว่า เป็นของที่ทำขึ้นมาใหม่ คำว่า Ooparts นี้ถูกตั้งขึ้นโดยนักสัตววิทยาและธรรมชาติชาวอเมริกัน ไอแวน ที แซนเดอร์สัน (Ivan T Sanderson) ครับ
.....ลองมาดูตัวอย่าง
Ooparts กันครับ ประเดิมชิ้นแรกด้วย แบตเตอรี่จากแบกแดด (Baghdad Battery) หรือแบตเตอร์รี่พาร์เธี่ยน(Parthian Battery) นั้นถูกค้นพบเมื่อปี ค..1936 ที่หมู่บ้านคธูจัตราบู ใกล้เมืองแบกแดดประเทศอิรัก จากการตรวจสอบแล้วพบว่า แบตเตอร์รี่นี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงยุคเมโสโปเตเมีย ช่วงเวลาก่อนประวัติศาสตร์

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จานบินในภาพวาด (UFO in paintings)

.....เนื้อเรื่องคราวนี้จะเป็นเรื่องเบาๆ เกี่ยวกับภาพวาดในสมัยก่อนๆ ครับ แต่ถ้าภาพวาดอย่างเดียว มันอาจจะไม่น่าสนใจเท่าไหร่ แต่ในภาพนั้นมีของบางอย่างที่ไม่น่าจะมีอยู่ในยุคสมัยนั้นเข้ามาอยู่ด้วย ใช่แล้วครับ วัตถุแปลกปลอมในภาพวาดที่จะนำมาให้ชมกันนี้ ก็คือ จานบินหรือยูเอฟโอ นั่นเองครับ ว่าแล้วก็ไปดูกันเลย.....เริ่มกันที่ภาพวาดจากประเทศญี่ปุ่นแล้วกันครับ ภาพนี้ค้นพบที่ ฮาราโตะโนะฮามะ ในปี ค..1803 กล่าวกันว่าจิตรกรที่เขียนภาพนี้ขึ้นมานั้น ได้เห็นวัตถุประหลาดที่ชายฝั่งฮาราโตะโนะฮามะ โดยวัตถุนี้คล้ายทำจากโลหะมันวาว และประกอบไปด้วยกระจกที่มีตัวอักษรประหลาดสลักอยู่.....มาต่อกันที่ภาพวาดนี้ครับ ได้มีการวาดขึ้นเมื่อตอนต้นศตวรรษที่ 12 ซึ่งได้มีการวาดขึ้นจากต้นฉบับที่ค้นพบเมื่อ ค..776 ซึ่งภาพนี้เกี่ยวกับการบุกยึดปราสาทซิกิเบอร์ก (Sigiburg castle) ในประเทศฝรั่งเศส และได้มีวัตถุประหลาดบินได้ส่องแวงสว่างบินไปมาอยู่เหนือกองทัพทหาร

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

รอสเวลล์ (Roswell UFO incident) ตอนที่ 2

.....เรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกลืมเลือนไปกว่า 30 ปี จากนั้นก็กลับมาโด่งดังแบบสุดขีดเมื่อมีการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนั้นโดยตรง ในปี ค..1978 นักยูเอฟโอวิทยา สแตนตัน ฟรีดแมน (Stanton Friedman) ได้ทำการสัมภาษณ์ผู้พัน เจสซี่ มาร์เซล (Jesse Marcel) นายทหารที่อยู่ในที่เกิดเหตุในวันนั้น โดยเจสซี่ได้เปิดเผยว่าทางกองทัพนั้นได้ปกปิดเรื่องราวเอาไว้ แท้ที่จริงแล้ว ที่ตกลงมานั้นไม่ใช่บอลลูน แต่เป็นจานบินของเอเลี่ยนที่ตกที่รอสเวลล์ แต่ทางกองทัพไม่ต้องการให้ประชาชนได้รู้เรื่อง เลยทำการปกปิดว่าเป็นบอลลูนตรวจอากาศ แล้วส่งคนมาเก็บหลักฐานไปเก็บเอาไว้ที่ฐานทัพ โดยเจสซี่เองได้เก็บเอาซากวัตถุนั้นกลับมาที่บ้านด้วย เพื่อให้ภรรยาและลูกชายของเขาดู โดยมีอยู่ชิ้นหนึ่งที่ดูแปลก เพราะเป็นแท่งโลหะที่สลักด้วยอักษรบางชนิดที่ดูคล้ายอักษรเฮียโรกลิฟ จากนั้นก็ได้นำกลับไปคืนยังฐานทัพ
.....ต่อมาในปี ค..1980 นิตยสาร เนชั่นแนล เอ็นไควเรอร์ (The National Enquirer) ได้ทำการสัมภาษณ์ผู้พันเจสซี่ อีกครั้ง คราวนี้เป็นการเผยแพร่ไปในสื่อที่กว้างกว่าเดิม จนทำให้เรื่องราวของรอสเวลล์กลับมาเป็นที่สนใจของผู้ที่สนใจอีกครั้ง มีหลายฝ่ายได้ทำการรวบรวมหาหลักฐานการรายงานเพิ่มเติม เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในวันนั้น ได้มีหนังสือและสื่อสิ่งพิมพ์หลายฉบับได้ตีพิมพ์และเขียนนิยายเกี่ยวกับรอสเวลล์ออกมามากมาย
.....ในปี ค..1989 สัปเหร่อ เกล็น เดนนิส (Glen Dennis) ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวของรอสเวลล์ โดยเขาเล่าผ่านประสบการณ์ในวันนั้นถึงเรื่องราวอันน่าพิศวง เริ่มมาจากในตอนบ่ายของวันที่เกิดอุบัติเหตุ เดนนิสได้รับโทรศัพท์จากทางกองทัพอากาศ โดยจะให้เขาช่วยเรื่องการขนส่งโลงที่ต้องการการปิดผนึกอย่างดี เพื่อใส่ร่างของคนที่โดนระเบิด เกล็นได้ถูกตามตัวไปยังโรงพยาบาลและได้เห็นทหารหลายคน พร้อมด้วยรถหลายคัน จอดประจำการอยู่ที่โรงพยาบาล โดยหนึ่งในนั้นได้บรรทุก เศษซากโลหะลักษณะแปลก เขาจึงเดินไปดู แต่ก็ถูกทหารที่ดูแลอยู่ไล่ออกมา และได้ขู่ว่าถ้าไม่อยากมีเรื่อง อย่าเล่าเรื่องที่เห็นออกไปอย่างเด็ดขาด วันต่อมาเดนนิสได้มาพบกับคนรักของเขาที่เป็นนางพยาบาลประจำโรงพยาบาล เธอได้เล่าว่าได้ถูกขอให้มาช่วย และได้พบเข้ากับร่างของเอเลี่ยนและได้วาดรูปบรรยายถึงสิ่งที่พบเห็นให้แก่เดนนิส จากนั้นไม่กี่วันเธอได้ถูกย้ายไปประจำการที่อื่น โดยที่เดนนิสและโรงพยาบาลที่เธอทำงานอยู่ก็ไม่รู้ว่าถูกย้ายไปอยู่ที่ไหน
.....รายงานจากบรรดาพยานที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์นั้น ก็ยังมีออกมาเปิดเผยอยู่เป็นระยะๆ กระทั่งหนังสือ รายการทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ ทั้งได้แนวคิดและหลักฐานใหม่ๆ ต่างก็ถูกนำมายกเป็นประเด็นกล่าวถึงอยู่ออกมาอีกมากมายจนกระทั่งปัจจุบัน เรื่องของรอสเวลล์นี่กลายเป็นเรื่องที่พูดถึงกันมากว่า
60 ปี ว่ามีการตกของจานบินจริงหรือไม่ รัฐบาลสหรัฐได้ปกปิดอะไรหรือเปล่า เรื่องราวเหล่านี้ก็ยากที่จะพิสูจน์ให้ชัดเจนก็เป็นเรื่องที่กระทำได้ยากครับ เพราะนอกจากหลักฐานที่เป็นชิ้นเป็นอันจะหาได้ยากแล้ว พยานบุคคลในสมัยนั้นก็แทบจะไม่มีเหลือ บันทึกเอกสารของทางกองทัพอากาศก็ถูกเผาทิ้งไปแทบหมด ทำให้ยากที่จะติดตามได้ ครับ นี่ก็เป็นเรื่องราวของจานบินตกที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เรา รายละเอียดเกี่ยวกับรอสเวลล์นี้ ยังมีอีกเยอะครับ ถ้าใครสนใจก็ลองหาอ่านเพิ่มเติมได้จากเว็บหรือหนังสือก็มีออกมาเยอะครับ เลือกได้ตามสบายกันเลยทีเดียว

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

รอสเวลล์ (Roswell UFO incident) ตอนที่ 1

.....นับย้อนไปเมื่อเดือนกรกฎาคม ค..1947 ได้เกิดเหตุการณ์วัตถุบินได้ชนิดหนึ่ง ตกลงมายังที่นิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่โด่งดังไปทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบันนี้ ครับ เรากำลังพูดถึงอุบัติเหตุจานบินตกที่รอสเวลล์นั่นเอง สำหรับผู้ที่เคยได้ยินเรื่องราวของรอสเวลล์มาแล้ว ก็คงเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า ทำไมเรื่องนี้ถึงได้โด่งดังไปทั่วโลก เรามาดูกันครับว่าเรื่องราวของรอสเวลล์นั้น มีที่มาที่ไปอย่างไร
.....ปรากฏการณ์จานบินตกที่รอสเวลล์ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันหนึ่งในเดือนกรกฎาคม ปี ค..1947 ครับ โดยผู้ที่เห็นเหตุการณ์เป็นคนแรก แมค แบรซเซล (Mack Brazel) เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ ในที่เกิดเหตุ โดยแบรซเซลได้ยินเสียงระเบิดดังมากมาจากทางฟาร์มของเขา จึงได้เข้ามาตรวจเช็คดู สิ่งที่เขาพบนั้นเป็นซากของวัตถุสีเงินเป็นแผ่นๆ กระจายอยู่ทั่วบริเวณ กินวงกว้างกว่า ร้อยเมตรโดยซากของเศษวัตุที่เขาพบนั้นเหมือนกันโลหะสีเงินแผ่นบางๆ กระจายไปทั่ว และในบริเวณรอบๆ นั้น ก็มีสิ่งที่คล้ายกับเศษซาก อุปกรณ์ของยานพาหนะบางอย่าง กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด หลังจากที่เขาได้ลองเดินสำรวจดูสักพัก สิ่งที่เขาพบตามมานั้น ทำให้เขายิ่งกว่าตื่นตะลึงเสียอีก เมื่อพบเห็นร่างของสิ่งมีชีวิตที่ดูคล้ายมนุษย์ เพียงแต่ตัวเล็กกว่า หัวโต ผิวหนังสีเทาซีด นอนเรียงรายกันอยู่ 4 ร่างด้วยกัน แบรซเซลรับรู้ได้ทันทีว่า สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งปกติ เขารีบกลับไปบ้านและบอกเล่าถึงเรื่องราวอันแปลก ประหลาดนี้แก่เพื่อนสนิทและสื่อสิ่งพิมพ์ทันที แน่นอนว่าเขาได้เก็บเอาวัตถุลึกลับติดตัวไปด้วย เพื่อยืนยันเหตุการณ์อันไม่ปกตินี้ ข่าวลือเรื่องมีจานบินมาตกในรอสเวลล์ ได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งจากทางหนังสือพิมพ์ สถานีวิทยุ ตลอดจนทางโทรทัศน์ จนทางกองทัพอากาศของสหรัฐต้องออกมาแถลงการณ์ว่า วัตถุบินได้ดังกล่าวนั้นเป็นเพียงบอลลูนตรวจอากาศ (Weather balloon) ที่ใช้สำหรับวัดสภาพปริมาณทางอากาศที่กำลังทำการทดลองสำหรับโครงการโมกุล (Mogul Project) เพียงเท่านั้น ไม่ใช่จานบินหรือยูเอฟโอแต่อย่างใด
.....ในวันต่อมาแบรซเซลได้ถูกกองทัพอากาศสหรัฐควบคุมเอาไว้ และนำ
ไปไว้อย่างเกสเฮาส์ และถูกควบคุมตัวอยู่ 2-3 วัน จากนั้น ทางกองทัพอากาศสหัฐก็ได้นำแบรซเซลออกมาแถลงการณ์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับสื่อ แน่นอนครับว่าคราวนี้แบรซเซลได้เล่าเรื่องไปชนิดที่เรียกว่าหนังคนละม้วนทีเดียว โดยเขาบอกว่าสิ่งที่เขาพบนั้นเป็นเพียงบอลลูนตรวจอากาศเท่านั้นมีมีอะไรมากไปกว่านี้ เป็นถ้อยแถลงสั้นของแบรซเซล งานนี้เล่นเอาบรรดานักข่าวงงไปตามๆ กัน ในตอนแรกรายละเอียดต่างๆ พรั่งพรูออกมาจากปากของเขามากมาย หลักฐานก็ได้หยิบติดไม้ติดมือมาให้หลายๆ คนได้เห็น แต่ตอนนี้กลับบอกเป็นเพียงบอลลูนตรวจอากาศธรรมดาๆ เท่านั้น มีคนให้ความเห็นว่าแบรซเซลโดนข่มขู่ไม่ให้เปิดเผยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้นออกไป เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อความมั่นคงและโครงการลับบางโครงการของทางรัฐบาลก็เป็นได้ และบรรดาหลักฐานต่างๆ ก็ถูกทางกองทัพเคลื่อนย้าย แยกเอาไปเก็บไว้แต่ละที่ ในเวลาเพียงไม่นาน และบริเวณที่เกิดการตกของวัตถุลึกลับนั้นก็ถูกล้อมห้ามเข้าอย่างเด็ดขาดโดยกองทัพอากาศ หลังจากนั้นได้ก่อเกิดโครงการตรวจสอบยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาวโดยเฉพาะ หรือที่รู้จักกันในนาม "โปรเจ็คท์บลูบุ๊ค (Project Bluebook)" อันโด่งดันนั่นเองครับ ติดตามต่อตอนที่ 2 นะครับ

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

โอโกโปโก (Ogopogo)

.....อีกหนึ่งสัตว์ประหลาดแห่งทะเลสาบที่เป็นที่รู้จักกันในบรรดาผู้หลงไหลในเรื่องลึกลับแล้ว นอกจากเนสซี่ ก็มี โอโกโปโก สัตว์ประหลาดจากทะเลสาบโอคานากัน (Okanagan Lake) ในประเทศแคนาดา นี่แหละครับ ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย สำหรับการพบเห็น โอโกโปโก ที่มีการบันทึกรายงานอย่างเป็นทางการนี่เริ่มขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมาครับ จนกระทั่งมีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้นก็ตอนต้นศตวรรษที่ 19 และได้มีการบันทึกภาพที่อาจจะเป็นเจ้าสัตว์นี้ได้เมื่อปี ค..1968 ครับ และได้มีการบันทึกเป็นวิดิโอเอาไว้ได้เมื่อปี 1989 ดย เคน แชปลิ (Ken Chaplin) ขณะที่โอโกโปโกกำลังว่ายน้ำอยู่ แต่มีคนได้ตั้งข้อสังเกตว่าวิดิโอนี้เหมือนตัวบีเวอร์กำลังว่ายน้ำเสียมากกว่า หลังจากนั้นก็ได้มีการบันทึกภาพของเจ้าโอโกโปโก ตีพิมพ์ออกมาอีกเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่ก็จะไม่ชัดเจน หรือเป็นความเข้าใจผิดขององค์ประกอบภาพก็มีอยู่เยอะครับ
......สถานที่อยู่ของโอโกโปโกนั้น ก็ไม่ใช่แคบๆ ครับ โดยขนาดของทะเลสาบโอคานากันนั้นมีความยาวประมาณ 135 กิโลเมตร กว้างประมาณ 4-5 กิโลเมตร และส่วนที่ลึกที่สุดอยู่ที่ราว 230 เมตร
ด้วยขนาดอันใหญ่แบบนี้ การที่จะมีสัตว์ประหลาดหลบซ่อนอยู่ซักตัว ก็ไม่น่าจะแปลกละมังครับ สำหรับรูปร่างลักษณะของเจ้าสัตว์ตัวนี้ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่า มีขนาดประมาณ 12-14 เมตร ผิวหนังสีดำ หัวเหมือนม้า ลำตัวยาวเหมือนงู มีหนอกและหางคล้ายกับม้า ดูจากรูปได้เลยครับ ซึ่งลักษณะแบบนี้ก็ดันคล้ายเข้ากับไดโนเสาร์พันธุ์ บาสิโลซอรัส (Basilosaurus) ชื่อของเจ้าโอโกโปโก มีความหมายว่า สัตว์ศักดิ์สิทธิ์แห่งสายน้ำ น่าเกรงขามกันเลยทีเดียวครับ

.....ในปี ค..1959 ขณะที่คู่รักสองคู่กำลังขับเรืออยู่ในทะเลสาบ ได้ปรากฏร่างของสัตว์ประหลาดโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ห่างจากทั้งคู่เพียงไม่กี่เมตร โดยเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ได้จ้องมองเรืออยู่สักพักแล้วมันก็ดำน้ำลงไปอย่างเงียบๆ นับได้ว่าเป็นการพบโอโกโปโกแบบระยะใกล้ที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกเอาไว้ได้ ในปี ค..1964 ก็ได้ตีพิมพ์ภาพจาก เอริค พารามิเตอร์ (Eric Parameter) ซึ่งกล่าวว่าเป็นภาพของโอโกโปโกที่กำลังว่ายน้ำอยู่ และรายงานการพบเห็นก็ได้มีการตีพิมพ์ออกมาเรื่อยๆ นับได้หลายร้อยชิ้นจนกระทั่งปัจจุบันนี้นั่นแหละครับ
......โอโกโปโกมีอยู่จริงหรือไม่ นี่เป็นอีกปริศนาหนึ่งที่ปัจจุบันนี้เรายังไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด ว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้มีอยู่จริงหรือไม่ หรืออย่างน้อยก็ยังไม่มีผลพิสูจน์ที่ชัดเจนว่ามันไม่มีอยู่จริง นักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการที่ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้ ได้ให้คำตอบสำหรับเรื่องนี้ว่า บางทีโอโกโปโกนั้น อาจจะเป็นเพียงแค่ความผิดพลาดจากการมองเห็นสิ่งที่เคลื่อนไหวได้ในน้ำ ไม่ว่าจะเป็น ตัวบีเวอร์ ปลาสเตอร์เจี้ยน คลื่นทะเลสาบ ขอนไม้ หรือกระทั่งวัตถุบางชนิดที่ลอยมาตามน้ำ ซึ่งระยะทางจากการมองสิ่งเหล่านี้ อาจจจะทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นสัตว์ประหลาดกำลังว่ายน้ำอยู่ก็เป็นได้

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เนสซี่ : สัตว์ประหลาดแห่งล็อคเนส (The Lochness Monster) ตอนที่ 2

....การพบเห็นอย่างเป็นทางการครั้งแรกของเจ้าเนสซี่คงต้องย้อนกลับไปเมื่อ เดือนกรกฏาคม ปี ค..1933 เมื่อ จอร์จ สไปเซอร์ (George Spicer) และภรรยา ได้ขับรถไปตามทะเลสาบล็อคเนสในยามเช้าและได้พบเข้ากับสัตว์ขนาดใหญ่ที่ทั้งคู่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน เจ้าสัตว์ดังกล่าวกำลังเดินข้ามถนน เพื่อที่จะข้ามไปยังทะเลสาบ จอร์จได้บรรยาย ถึงลักษณะของสัตว์ประหลาดตัวนี้ว่า มันคลานสี่ขา ลำคอยาวเรียว มีความสูงประมาณ 1 เมตร ยาวประมาณ 8-9 เมตร เหมือนมังกรตัวยาวๆ หรือสัตว์ในยุคไดโนเสาร์ หลังจากการพบเห็นครั้งแรกที่มีการรายงานอย่างเป็นทางการ การพบเห็นครั้งต่อมาก็เกิดขึ้นไม่นานหลังจากนั้นโดยในเดือนสิงหาคม 1933 อาเธอร์ แกรนท์ (Arthur Grant) ได้อ้างว่าพบเจ้าสัตว์ประหลาดนี้เช่นกัน โดยพบเจอมันบนบกหลังจากเขาผ่านไปตามทะเลสาบ หลังจากนั้นไม่นาน ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ได้มีการตีพิมพ์ภาพที่อ้างว่าเป็นเจ้าอสูรกายตัวนี้เป็นครั้งแรก จากฝีมือขอฮิวจ์ เกรย์ (Hugh Gray) หรือภาพทางซ้ายมือนั้นแหละครับ ที่เป็นภาพของบางสิ่งที่มีขนาดลำตัวยาวกำลังว่ายน้ำอยู่
.....แต่ภาพถ่ายเนสซี่ที่โด่งดังมากที่สุด และได้รู้จักกันไปทั่วโลกนั้น ก็ได้ถูกตีพิมพ์ในเวลาต่อมาไม่นานในปี ค
..1934 จากโรเบิร์ต เคน
เน็ธ วิลสัน (Dr.Wilson) และใช้ชื่อว่า ภาพของศัลยแพทย์ (Surgeon’s photograph) โดยเป็นภาพของสัตว์ชนิดหนึ่งที่มีลำคอยาวโผล่พ้นน้ำมา โดยภาพนี้แสดงถึงโครงสร้างของหัวและบริเวณลำตัวได้อย่างชัดเจน นับเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้ผู้คนเชื่อในเนสซี่มากยึ่งขึ้นว่ามันมีอยู่จริง และได้มีการตั้งทีมค้นหาขึ้นมากมาย เพื่อความหาตัวเนสซี่ ซึ่งภาพนี้เป็นภาพที่ถ่ายได้จาก 2 ใน 5 ภาพ โดยกล่าวกันว่าเป็น ภาพถ่ายของเนสซี่ที่ถ่ายได้ชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีการตีพิมพ์กันมาเลยทีเดียวในยุคสมัยนั้น......แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ในปี ค..1994 นั้นได้มีการพิสูจน์แล้วว่าภาพดังกล่าวเป็นของปลอมขึ้นเท่านั้น และเจ้าของภาพและเพื่อน ก็ได้ออกมายอมรับว่าได้ทำภาพดังกล่าวขึ้นมาจริง ด้วยความนึกสนุกเท่านั้น แต่ไม่นึกว่าจะลุกลามไปขนาดนี้ ก็เลยมีการสาบานกันเอาไว้ว่าจะปกปิดเป็นความลับ แล้วถ้าใครเสียชีวิตเป็นคนสุดท้ายก็ให้สารภาพเรื่องนี้ออกมา
.....ภาพนี้ทำไม่ยากครับ โดยส่วนประกอบ
มีเพียงเรือดำน้ำขนาดเล็กและก็หัวของสัตว์ประหลาดจำลองเท่านั้น การถ่ายทำก็ไม่ยากอะไร เพียงแค่เอาหัวสัตว์ประหลาดปลอมมาติดไว้กับเรือดำน้ำ แล้วถ่ายตอนที่มันแล่นอยู่ก็เท่านั้นเองครับ
.....แต่ก่อนที่จะมีการเปิดเผยภาพของศัลยแพทย์นี้ออกมา ก็ได้มีผู้ที่พยายามพิสูจน์ว่าภาพดังกล่าวเป็นของจริงหรือไม่ โดยวิเคราะห์จาก วงน้ำกระเพื่อมรอบตัวเนสซี่ และได้ให้ข้อสังเกตว่า วงน้ำที่กระจายออกนั้นมีขนาดเล็กเกินไป และไม่สัมพันธ์กับขนาดของเนสซี่ที่ว่าใหญ่กว่า 10 เมตรกันเลยทีเดียว ขนาดวงกระเพื่อมที่ปรากฏอยู่ในภาพนั้น อาจจะมีขนาดไม่ถึงเมตร ซึ่งบ้างก็ว่าภาพนี้เป็นภาพของช้างที่กำลังว่ายน้ำและชูงวงขึ้นเหนือน้ำ หรือไม่ก็เป็นภาพของนากที่กำลังดำน้ำและชูหางขึ้นเหนือน้ำเท่านั้นเอง ติดตามต่อตอนที่ 3 นะครับ

เนสซี่ : สัตว์ประหลาดแห่งล็อคเนส (The Lochness Monster) ตอนที่ 1

......สัตว์ประหลาดแห่งทะเลสาบล็อคเนสหรือที่รู้จักกันในชื่อของ “เนสซี่” นับได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดในตำนานตัวหนึ่งที่มีคนรู้จักอยู่มากมาย ซึ่งเนสซี่นั้นมีถิ่นฐานอาศัยอยู่ในทะเลสาบล็อคเนส ประเทศสก็อตแลนด์ โดยมีรายงานการถูกพบเห็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1933 และได้ถูกขนานนามว่า “เนสซี่” ก็เมื่อปี ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา และจากสถิติรายงานการพบเห็นเนสซี่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้นับได้เป็นพันๆ ชิ้น ทั้งจากผู้คนในท้องถิ่นเอง หรือนักท่องเที่ยวที่มาเยือนทะเลสาบเองก็ตาม



.....ปริศนาที่ว่าเนสซี่นั้น “มีตัวตันอยู่จริงหรือไม่” นั้น ปัญหานี้ดูจะค้างคาใจแก่เหล่าผู้คนมานานหลายสิบปี ซึ่งก็มีทั้งผู้ที่เชื่อและไม่เชื่อว่าเนสซี่นั้นมีอยู่จริงในทะเลสาบแห่งนี้ เราลองมาพิจารณาถึงสภาพทางภูมิศาสตร์ของทะเลสาบแห่งนี้เป็นอันดับแรกก็แล้วกันครับ

.....ล็อคเนสนั้นเป็นทะเลสาบที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองของประเทศสก็อตแลนด์ มีพื้นที่ผิวน้ำประมาณ 52 ตารางกิโลเมตร ยาวประมาณ 37 กิโลเมตร และ 15.8 เมตรที่เหนือระดับน้ำทะเล ส่วนที่ลึกที่สุดประมาณ 230 เมตร น้ำเป็นสีดำสนิท ก้นทะเลสาบประกอบไปด้วย ขี้เลนและโคลนซึ่งเป็นสิ่งเหมาะกับเรื่องการบดบังทรรศนะวิสัยเป็นอย่างดี รอบฝั่งทั้งสองด้วยถูกล้อมไปด้วยปราการภูเขาตลอดแนว ซึ่งเต็มไปด้วยช่องถ้ำคูหาใหญ่น้อยมากมาย ด้วยลักษณะภูมิประเทศและพื้นที่อันกว้างใหญ่เช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกเท่าไหร่ถ้าจะมีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดคอยาวขนาดยักษ์ที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ ติดตามต่อตอนที่ 2 นะครับ

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Welcome to Mystery Dock

Welcome Welcome

สวัสดีทุกท่านที่บังเอิญหลงเข้ามาที่นี่ครับ บล็อกนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ สัตว์ประหลาดในตำนาน จานบิน มนุษย์ต่างดาว และอื่นๆ อีกมากมายครับ เป็นบทความที่เอาไว้อ่านเพื่อความบันเทิงล้วนๆ ไม่จริงจังหรือซีเรียสครับ
ก่อนที่จะมาเป็นบล็อกนี้ ขอเล่าถึงอดีตนิดหน่อย ก็เคยเขียนเรื่องไปในเวบ Myth อันโด่งดังในสมัยนั้น ในส่วนของพวกสัตว์ประหลาดต่างๆ พวก Mystery Monsters, Conspiracy Theories และเรื่องอื่นๆ ในชื่อของนายโอครับ ทำได้อยู่นานทีเดียว จนกระทั่งเวบปิดตัวไป และสมาชิกหลายๆ คนก็ไปอยู่กันในบ้านแห่งใหม่ Mythland ซึ่งตอนนี้ก็ยังเปิดอยู่ ผมเองก็ได้มาเปิด Pantown ในชื่อของ Mystery Hut เขียนเรื่องลึกลับนิดหน่อยๆ ที่นั่น ก็ทำมาได้อยู่พักนึง บล็อกนั้นก็ปิดตัวไป และหยุดไปนาน จนได้กลับมาทำต่ออีกครั้ง ในชื่อของ Mystdock ที่นี่แหละครับ คิดว่าคงจะทำต่อไปเรื่อยๆ อ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไง ก็ติชมกันได้เลยนะครับ
......